วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เมื่อไรจึงจะเรียกว่าอ้วน

เมื่อไรจึงจะเรียกว่าอ้วน ต้องมีน้ำหนักตัวเท่าไร ต้องมีไขมันแค่ไหน พุงต้องโตแค่ไหน ถ้าเริ่มจากศูนย์ วิธีที่ดีที่สุดคือ ดูพุงตัวเอง! ถ้ามีพุงก็ถือได้แล้วว่าอ้วน!
เรื่อง: รศ.นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
ยกตัวอย่างเช่นผม ผมหนัก 80 กิโลกรัม (แต่ในเดือนนี้ต้องเดินทางบ่อย ไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ อังกฤษ ฟินแลนด์ แคนาดา กินไม่หยุด ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย น้ำหนักเลยปาเข้าไป 83 กิโลกรัม! ที่กินไม่หยุดเพราะไม่แน่ใจว่ามื้อต่อไปจะมีให้กิน หรือกินได้หรือไม่!) ผมอ้วนแล้วหรือยัง เราคงไม่ได้ดูน้ำหนักตัวอย่างเดียว โดยสากลนิยมเราต้องดูส่วนสูงของเราด้วย ผมสูง 178 เซนติเมตร ผู้เชี่ยวชาญของโลกคิดวิธีคำนวณว่าอ้วนหรือไม่ด้วยการหาดัชนีมวลกายหรือ body mass index หรือ BMI คือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง BMI ของผมคือ 80 หาร 1.782 ซึ่งออกมาเป็น 25.25 องค์การอนามัยโลกให้ค่าปกติอยู่ระหว่าง 18.5-24.9 แต่เนื่องจากคนเอเชียมีโครงสร้างผอมบาง เล็ก องค์การอนามัยโลกจึงให้ชาวเอเชียมี BMI ไม่เกิน 23 จากนี้จะเห็นได้ว่า BMI ของผมสูงไปไม่ว่าจะคิดสำหรับชาวเอเชีย หรือชาวฝรั่ง!
แต่ดู BMI อย่างเดียวไม่ได้เสมอไป บางคนมี BMI สูง แต่เป็นกล้ามเนื้อทั้งนั้น ไขมันไม่มีเลย ฉะนั้นการดู BMI จึงเป็นการดูแบบคร่าวๆ ต้องดูส่วนประกอบอื่นด้วย เช่น ดูพุงตัวเอง ปกติแล้วคนเราต้องมีพุงที่เล็กกว่าสะโพก ใครมีพุงใหญ่กว่าสะโพกก็ถือว่าอ้วนมากแล้ว โดยทั่วไปไม่น่าที่จะมีพุงใหญ่กว่า 36 นิ้ว
โดยสรุปถ้าไม่มีที่ชั่งน้ำหนัก ไม่มีที่วัดส่วนสูง ดูพุงตัวเองก็พอแล้ว ถ้าพุงใหญ่เกินไปก็ถือว่าอ้วนมากแล้ว! ถึงแม้ว่าที่แขน ขา สะโพกอาจไม่อ้วน ทั้งนี้ความอ้วนหรือไขมันที่พุงจะมีความหมายเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บมากกว่าไขมันที่อื่น เช่น ถ้าอ้วนที่พุงจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน และโรคเบาหวาน (ชนิดที่ 2)
แต่ประเด็นคือ ต้องยอมรับตัวเองว่าพุงใหญ่หรือไม่? ถ้าอ้วนหรือมี BMI สูงเกินไป จะมีความหมายอย่างไร? ปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับแล้วว่าถ้าอ้วนเกินไปจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคกระดูกเสื่อม โรคกรนและหยุดหายใจซึ่งจะมีภาวะแทรกซ้อนมากมายตามมา แม้แต่โรคมะเร็งโดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ และยังมีโรคอื่นๆ อีกมากมาย
ทำไมจึงอ้วน? คำตอบที่ง่ายคือ ผู้ที่อ้วนรับประทานอาหารมากกว่าที่จำเป็น มากกว่าที่ร่างกายจะใช้ อาจจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน อันนี้หมายความว่า ในขณะนี้รับประทานไม่มากกว่าที่ร่างกายใช้ แต่ยังอ้วนอยู่เพราะในอดีตรับประทานมากไป
ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ต้องการพลังงานเพื่อความอยู่รอด ถึงแม้เราจะนอนหลับหรือนั่งเฉยๆ ร่างกายก็ต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิตอยู่ หรือที่เรียกว่า basic metabolism เพื่อการหายใจ เพื่อให้หัวใจเต้น การใช้พลังงานประการที่ 2 คือการเคลื่อนไหวประจำวัน ฯลฯ และประการที่ 3 คือการออกกำลังกาย โดยสรุปพอพูดได้ว่าผู้ที่อ้วน คือผู้ที่ได้รับพลังงานเข้าไปในร่างกายมากกว่าที่ร่างกายจะใช้ อาหารที่ให้พลังงานมาจาก 3 แหล่งคือ ไขมัน แป้ง และโปรตีน เท่านั้นคือ 9, 4 และ 4 กิโลแคลอรีต่อหนึ่งกรัมตามลำดับ ส่วนวิตามิน เกลือแร่ และน้ำมีความสำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีแคลอรีหรือให้พลังงานเลย
ถ้าจะลดน้ำหนักจะต้องคุมอาหารและออกกำลังกาย จะต้องรับประทานน้อยกว่าที่ใช้ การคุมอาหารอย่างเดียวหรือออกกำลังกายอย่างเดียวจะได้ผลยาก โดยเฉพาะถ้าออกกำลังกายอย่างเดียวถึงแม้จะออกกำลังกายมาก แต่ถ้ารับประทานมากกว่าที่ใช้ก็จะยังลดน้ำหนักไม่ได้อยู่ดี ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไม่รับประทานอาหารเลย เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียไขมันและกล้ามเนื้อ แต่ถ้าคุมอาหารอย่างเดียวโดยไม่ออกกำลังกายจะลดน้ำหนักได้ช้าและน้ำหนักที่ลดอาจเป็นกล้ามเนื้อ หลักการของการลดน้ำหนักคือต้องลดไขมันไม่ใช่กล้ามเนื้อ!
ในปัจจุบันโรคอ้วนเป็นโรคที่พบได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นจึงเกิดธุรกิจขึ้นมากมายสำหรับการลดน้ำหนัก ผมเองมีความเห็นว่าถ้าใครที่อยากลดน้ำหนัก หากมีความรู้และมีวินัย ใจเย็นๆ ค่อยๆ ลดไป ก็จะประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองเข้าคอร์สลดน้ำหนักที่ไหน บางแห่งคิดเงินแพงมากเพื่อให้ไปอดอาหารเท่านั้น
วิธีคุมอาหารเพื่อการลดน้ำหนักที่ดี คือ
การรับประทานหนักไปทางพืชผักผลไม้ที่เขียวและแข็ง ปลา (ยกเว้นไข่ปลา) ไก่ที่ไม่มีหนัง และรับประทานข้าวได้บ้าง ถ้าหิวให้รับประทานผักมากๆ ข้าวให้น้อยที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงมันสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง กะทิ น้ำตาล น้ำหวาน ของหวาน
ควรมีเทคนิคในการรับประทาน เช่น ควรทราบว่ากว่าร่างกายจะรู้ว่าอิ่มจะต้องใช้เวลา 20 นาที ฉะนั้นค่อยๆ รับประทาน อาจเริ่มด้วยการรับประทานซุปผัก ตามด้วยสลัด ปลา และข้าวบ้าง ถ้าหิวให้รับประทานผักมากๆ ค่อยๆ เคี้ยว พูดไปคุยไปด้วยจะได้รับประทานได้ไม่มากใน 20 นาที
นอกจากนั้นควรแบ่งอาหารที่รับประทานทั้งวันออกเป็น 3 มื้อ แทนที่จะรับประทาน 1-2 มื้อต่อวัน เพราะในการรับประทานอาหารแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังงาน แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าปริมาณพลังงานที่รับประทานต่อวันต้องเท่ากัน แต่แบ่งออกเป็น 3-4 มื้อแทนที่จะรับประทาน 1-2 ครั้งต่อวันเท่านั้น
สำหรับการออกกำลังกาย ควรเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ซึ่งก็คือการใช้กล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่ เช่น แขน หรือขา อย่างต่อเนื่องและนานพอ คืออย่างน้อย 20 นาที หนักพอ คือ ต้องออกกำลังกายให้หัวใจเต้นประมาณ 70% ของความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้ หรือ maximal heart rate, MRI คือ 220 - อายุ (ปี) แต่ในทางปฏิบัติไม่ต้องไปวัดชีพจรเพราะวัดได้ยาก แต่ควรออกกำลังกายให้เหนื่อยหอบเล็กน้อย แต่ยังพอพูดได้ และควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้าดูจากหลักการของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ว่านานพอ หนักพอ ก็คงคิดเองได้ว่าชนิดของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ คือ การเดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก หรือเต้นแอโรบิค แต่จริงๆ แล้วเป็นการออกกำลังกายอะไรก็ได้ที่ทำได้นานพอ หนักพอ บ่อยครั้งพอ!
การออกกำลังกายที่สะดวกที่สุด ง่ายที่สุด ใครจะทำก็ได้ คือการเดิน ผู้ที่อ้วน สูงอายุ หรือเข่า ข้อเท้าไม่ดี วิธีออกกำลังกายอันดับแรกก็คือว่ายน้ำ สองคือการถีบจักรยาน เมื่อน้ำหนักลดลงพอแล้วจึงอาจวิ่งได้
ถ้าจะให้ดีที่สุดคือเปลี่ยนวิธีการออกกำลังกายไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ เช่น ว่ายน้ำ1 วัน วิ่ง 1 วัน จักรยาน 1 วัน แต่การว่ายน้ำและถีบจักรยานไม่ช่วยให้ร่างกายสร้างกระดูก ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ควรเดินหรือวิ่งบ้าง โดยเฉพาะสุภาพสตรี เนื่องจากสุภาพสตรีจะมีมวลกระดูกน้อยกว่าผู้ชาย ถ้ากระดูกมีน้อยไปจะทำให้เป็นโรคกระดูกบาง พรุน และอาจทำให้หักได้ง่าย
สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองควรลดน้ำหนัก อย่าลืมว่าการลดน้ำหนักควรลดเพียงครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์เท่านั้น วิธีดีที่สุดคือ ดูแลตนเองไม่ให้อ้วน ดีกว่าอ้วนแล้วจึงพยายามลดน้ำหนักครับ!

บำรุงเลือดลม ช่วยย่อยอาหาร

เมนูสุขภาพวันนี้ ยกให้ แครอท แอปเปิลเขียว และขิง เป็นพระเอก
เมนูสุขภาพวันนี้ กินดี ยกให้ แครอท แอปเปิลเขียว และขิง เป็นพระเอก เพราะงานนี้เจ้าส่วนผสมทั้งสามจะรวมตัวกันสกัดออกมาเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อระบบเลือดลมและการย่อยอาหาร เริ่มกันที่ แครอท ผัก สีเหลืองส้มเป็นแหล่งใหญ่ของเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ดีต่อผิวพรรณ สายตา ปอดและม้าม รวมทั้งมีสรรพคุณในการทำความสะอาดตับจากน้ำดีและสารพิษที่สะสมตัวจนกลายเป็น ของเหลวเหนียว ซึ่งเป็นผลมาจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมี นอกจากนี้ แครอท ยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ซัลเฟอร์และคลอรีน ที่จำเป็นต่อการทำความสะอาดเนื้อเยื่อและยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ เป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษอีกด้วย แอปเปิล เต็มเปี่ยมไปด้วยโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี 1 บี2 และบี 6 ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยลดความตึงเครียด ช่วยล้างสารพิษที่สะสมอยู่ในตับและไต มีกรดมาลิก กรดแทนนิก และเส้นใยเพ็กติน ช่วยทำความสะอาดลำไส้เล็ก และชะล้างกระเพาะอาหาร ปิดท้ายกันที่ส่วนผสมสุดท้าย ขิง สาร อาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย อาทิ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม และวิตามินเอ สารเหล่านี้มีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหารและทำให้ร่างกายอบอุ่น ส่วนผสมเมนูสุขภาพแครอท 1 ถ้วย แอปเปิลเขียว 2 ถ้วย ขิง 1 แง่งเล็ก น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย วิธีทำนำส่วนผสมทั้งหมดมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย ใช้แปรงขัดแง่งขิงให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้ง ทุบพอแตก นำแครอทมาขูดเป็นเส้นเล็ก ๆ และแอปเปิลเขียวหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งป่น ขอให้อร่อยกับเมนูสุขภาพค่ะ

ประโยชน์ของกระเทียม

ทราบหรือไม่ว่า กระเทียมที่กินอยู่เป็นประจำมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก
...
กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด
กินกระเทียมเป็นประจำ จะทำให้ผิวหนังสะอาด เพราะกระเทียมจะไปทำความสะอาดเลือด ช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น รักษาผิวหนังที่เป็นตุ่มแผล ผิวหนังด่างดำ สิวและฝี
กระเทียมช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะกระเทียมจะไปขยายเส้นเลือดให้กว้างขึ้น
ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เพราะกระเทียมจะไปยับยั้งการสร้างสารกรอมโปเซนบี 2 ซึ่งสารนี้เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และเป็นสาเหตุทำให้ความดันโลหิตสูง
รู้อย่างนี้แล้ว หันมากินกระเทียมกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี.

กินให้ไม่อ้วน ได้ไม่ยาก !

เพื่อควบคุมน้ำหนักให้ได้ผลเราไม่แนะนำให้คุณงดมื้ออาหาร แต่ขอแนะนำให้คุณลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารดู
ธิติมา ปฏิพิมพาคม
การได้กินของอร่อยๆ เป็นเรื่องสำคัญมากของชีวิต ได้ลิ้มรสอาหารถูกปาก ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ถึงแพงเท่าไหร่ ถ้าอร่อยซะอย่าง ราคาไม่เกี่ยง การหาความสุขด้วยการกินแบบนี้เชื่อว่าคงมีหลายคนเป็นเหมือนกันและปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความสุขชั้นเยี่ยมของชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นใครก็ตามที่ตามใจปากโดยมิอาจยับยั้งชั่งใจ ก็ไม่ต้องเสียใจภายหลังหากเป็นโรคอ้วน ครั้นจะกลับมาลดน้ำหนักลงก็คงลำบากเพราะความเชยชินกับการกินเท่าไรเท่ากัน อาจจะไม่คุ้นเคยในเบื้องต้น แต่ถ้าพยายามชั่งใจทุกครั้งที่กินไม่นานคุณก็จะชิน และกลายเป็นนิสัยการกินที่ดีอย่างถาวร ตราบนั้นคุณก็สบายใจได้เรื่องน้ำหนักตัว ตามปกติทั่วไปใน 1 วันคนเราวัยต่างๆ มีความต้องการชนิดและปริมาณของอาหาร ดังนี้คือ 1,600 กิโลแคลอรี สำหรับเด็กอายุ 6 - 13 ปี หญิงวัยทำงานอายุ 25 - 60 ปี ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 2,000 กิโลแคลอรี สำหรับวัยรุ่นหญิง - ชาย อายุ 14 - 25 ปี วัยทำงานอายุ 25 - 60 ปี 2,400 กิโลแคลอรี สำหรับหญิง - ชาย ที่ใช้พลังงานมากๆ เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน นักกีฬา
เทียบออกมาเป็นประเภทอาหารให้เห็นได้ชัดขึ้นตามตารางนี้
หมายเหตุ เลขใน() คือปริมาณแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ การควบคุมน้ำหนักให้ได้ดี คือในแต่ละวันต้องควบคุมปริมาณการกินอาหารที่ให้พลังงานสูงแล้วเลือกกินอาหารที่ให้พลังงานต่ำๆ แทน เพื่อไม่ให้ร่างกายได้พลังงานเกินความต้องการ เพราะพลังงานส่วนเกินนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คุณลองมาเลือกลดอาหารประเภทต่างๆ ตามนี้ดู... ข้าว ข้าว 1 จานให้พลังงานประมาณ 250 กิโลแคลอรี (ประมาณ 2 ทัพพีครึ่ง) ถ้าลดข้าวมื้อละ 1 ทัพพีใน 1 วัน จะลดพลังงานได้ถึง 300 กิโลแคลอรี เนื้อสัตว์ เลือกกินปลา เป็ด ไก่ ไม่ติดหนัง ดีกว่าเลือกหมูเนื้อล้วน เพราะเนื้อหมูมีไขมันแทรกแต่มองไม่เห็น ผลไม้ เลือกกินผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ชมพู่ ฝรั่ง แตงโม มะม่วงดิบ พุทรา แคนตาลูป ดีกว่าผลไม้ที่หวานจัดให้พลังงานสูง เช่น ทุเรียน ขนุน ลำไย ลิ้นจี่ ผัก ควรเลือกกินให้มากเพราะให้พลังงานน้อย แต่ได้คุณค่าสารอาหารมาก มีเส้นใยอาหารมาก ผักบางชนิดทำให้อิ่มนาน การกินผักเยอะๆ ช่วยเพิ่มปริมาณอาหารให้ดูมาก แต่พลังงานนิดเดียว เหมาะมากสำหรับผู้คุมน้ำหนัก น้ำมัน / กะทิ น้ำมันเพียง 1 ช้อนชา ให้พลังงานสูงถึง 45 กิโลแคลอรี ถ้าประกอบอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ ตุ๋น ยำ จะช่วยลดพลังงานจากการใช้น้ำมันปรุงได้มากทีเดียว อาหารทอดใช้น้ำมันอย่างน้อย 2 ช้อนโต๊ะ นั่นเกือบ 300 กิโลแคลอรี กะทิ 1 ถ้วยแกง จะมีหัวกะทิ 1 ช้อนโต๊ะ พลังงานเท่ากับไขมัน 2 ช้อนชา ถ้าเลือกกินแกงส้ม ต้มยำ แทนแกงกะทิ ก็ลดพลังงานได้กว่า 100 กิโลแคลอรี น้ำตาล ขนมหวาน 1 ถ้วย หรือ 1 ชิ้น จะให้พลังงานได้ 120 กิโลแคลอรี แต่ถ้าเทียบกับผลไม้ ขนมหวานจะให้พลังงานเป็น 3-4 เท่า ยิ่งถ้ามีส่วนผสมของกะทิอยู่ด้วยก็บวกพลังงานเพิ่มเข้าไปอีก เลือกกินผลไม้แทนดีกว่า เครื่องดื่ม น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่เรียกน้ำหนักได้โดยไม่รู้ตัว เพราะ 1 แก้วให้พลังงาน 20-60 กิโลแคลอรี อาหารระหว่างมื้อ จริงๆ ไม่ควรกินบ่อยๆ เพราะลำพังอาหารมื้อหลักก็พอเพียง อาหารระหว่างมื้อ ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของแป้ง น้ำตาล ไขมัน เนย เช่น คุ้กกี้ ถ้ารวมเครื่องดื่มด้วยก็จะได้พลังงานไม่น้อยกว่า 200 กิโลแคลอรี ถ้าอดไม่ได้ให้เลือกผลไม้ชนิดที่ไม่หวานแทน จะได้พลังงานต่ำลง เพิ่มวิตามินและเกลือแร่ด้วย จากข้อแนะนำในการเลือกชนิดอาหารแล้ว ครานี้คุณต้องลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัยการกินอาหารดูบ้าง เทคนิคในการควบคุมพฤติกรรมการกินอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก กินอาหารในที่ที่จัดเป็นกิจจะลักษณะเท่านั้น เช่น ในห้องอาหาร ที่โต๊ะอาหาร ไม่เดินกิน หรือซื้อของกินตามทาง ไม่หาของกินมาไว้ที่โต๊ะทำงาน ไม่กินขณะดูโทรทัศน์ ขณะอ่านหนังสือ หรือฟังเพลง ฯลฯ กินอาหารให้ตรงเวลาและเป็นมื้อ ไม่กินจุบจิบ ไม่กินขนมขบเคี้ยว เลือกภาชนะใส่อาหารที่มีขนาดเล็กลง เวลาตักข้าวอย่าให้เป็นก้อน ควรซุยข้าวให้ร่วนก่อนตัก และอย่าตักอัดแน่น หรือพูนเกินไป ก่อนกินอาหารให้ดื่มน้ำเย็น (ไม่ใช่น้ำอุ่น) ก่อนอาหาร 10 นาที ประมาณ 2 แก้ว เคี้ยวอาหารช้าๆ และเคี้ยวให้ละเอียดทุกครั้งก่อนกลืน เมื่อกินอาหารเสร็จให้ลุกจากโต๊ะอาหารทันที หรือเก็บอาหารที่เหลือเข้าที่ทันที ไม่สำรองอาหารไว้ในที่เห็นได้ง่าย เช่น ไม่เก็บอาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปไว้ในห้องทำงาน หรือไม่วางขนมไว้บนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ เพื่อป้องกันการเผลอใจ ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้ความหิวทวีคูณขึ้น และจะทำให้กินเพิ่มเป็นสองเท่า ถ้าหิวให้ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่หวานช่วย ไม่ควรกินอาหารก่อนนอน เพราะเมื่อไม่ได้ใช้พลังงานจะทำให้สะสมเป็นส่วนเกิน งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ถ้างดไม่ได้ให้ลดลงมาครึ่งหนึ่งก่อน ถ้าสำเร็จแล้วค่อยลดลงอีกครึ่งหนึ่ง ทีนี้จะลดหรือเลิกดื่มต้องอยู่ที่ใจ ถ้าต้องการลดน้ำหนักเพื่อลดหุ่น ให้ซื้อชุดสวยที่อยากใส่มาแขวนไว้เป็นแรงบันดาลใจ อาจได้ผลบ้าง เทคนิคเหล่านี้เป็นเรื่องไม่ยากที่คุณอาจจะมองข้ามไปในชีวิตประจำวัน เพียงเพิ่มความระวังและคิดก่อนเลือกกินอาหารสักหน่อยก็จะช่วยให้คุณคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น ที่สำคัญคุณไม่ต้องอดอาหารทรมานตัวเอง แต่ยังได้อิ่มสบายท้องตลอดวันอีกด้วยค่ะ

รักษาหวัดใหญ่ ด้วย Zanamivir

คงไม่ช้าเกินไปที่จะหยิบยกตัวยา Zanamivir ที่ใช้รักษาหวัดใหญ่ มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง
คงไม่ช้าเกินไปที่ ภาษาหมอ จะหยิบยกตัวยา Zanamivir ที่ใช้รักษาหวัดใหญ่ มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง! ศูนย์ควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา บันทึกไว้ว่า Zanamivir เป็นยาสำหรับไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก และ ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ใช้รักษาโรคติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในเด็กและผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป แต่ใช้ ป้องกันการติดเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ในเด็กและผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ตัวยา เป็นผงแห้งสำหรับสูดทางปาก ขนาดสำหรับการรักษา คือ 10 mg ใช้สูดเข้าทางปากวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน โดยเริ่มให้ยาภายใน 2 วัน หลังจากอาการปรากฎ ที่สำคัญควรใช้ยาเป็นเวลาเดิมของทุกวัน สำหรับสตรีมีครรภ์ คณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐจัดให้ Zanamivir อยู่ใน Pregnancy Category C ซึ่งบ่งชี้ว่ายังไม่มีการศึกษาทางคลินิกเพื่อประเมินความปลอดภัยของยานี้ในสตรีมีครรภ์ ดังนั้นการใช้ยานี้จึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่จะได้รับกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานการเกิดผลข้างเคียงในคนที่ใช้ยานี้ระหว่างตั้งครรภ์รวมถึงเด็กที่เกิดมา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการหลอดลมตีบหรือมีปัญหาการหายใจอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงไม่แนะนำ Zanamivir สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น หอบหืด หรือ โรคอุดกั้นทางเดินหายใจเรื้อรัง (COPD) ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคปอด ควรใช้ยาขยายหลอดลมที่ออกฤทธิ์เร็วชนิดสูดพ่นระหว่างที่ได้รับยา Zanamivir โดยใช้ยาขยายหลอดลมก่อนให้ใช้ Zanamivir ข้อควรระวัง! หากเกิดอาการแพ้ยา ได้แก่ ปาก คอหอย หรือหน้าบวม ให้หยุดใช้ยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กว่าจะมาเป็นน้ำยาลบคำผิด

เคยสงสัยไหมคะว่า “น้ำยาลบคำผิด” หรือ “correcting fluid” ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง มาจากที่ไหน และใครเป็นคนคิดค้นขึ้นเป็นคนแรก … วันนี้พี่เหมี่ยวอาสาพาน้องๆ dek-d.com ไปหาคำตอบกันค่ะ
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า อนงค์นางหนึ่งมีนามว่า นางเบ็ต เนสมิธ เกรแฮม (Bette Nesmith Graham) ทำงานในหน้าที่เลขานุการเวลาที่เธอพิมพ์งานผิด เธอต้องเจอกับปัญหาการพิมพ์ผิดซึ่งเธอใช้ยางลบดินสอเป็นตัวช่วยลบทำให้การทำงานทั้งล่าทั้งช้าและไม่เรียบร้อย ต่อมามีเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าออกมาใช้ คราวนี้เธอเผชิญปัญหาหนักกว่าเก่า เพราะไม่สามารถใช้ยางลบดินสอลบทำผิดได้อีกต่อไป ต้องพิมพ์ใหม่สถานเดียว
กว่าจะมาเป็น "น้ำยาลบคำผิด"
เมื่อต้องประสบกับปัญหานี้อยู่บ่อยครั้งเธอจึงหาทางแก้ไขปัญหานี้ด้วยการประดิษฐ์น้ำยาลบคำผิดขึ้นมา ในปี ค.ศ.1950 เธอก็ค้นพบวิธีทำน้ำยาลบหมึกแบบง่าย เพียงใช้สีน้ำสีขาวบรรจุลงในขวดน้ำยาทาเล็บ ใช้พู่กันป้ายสีน้ำสีขาวลงบนกระดาษ แค่ก็สามารถลบคำผิดได้และพิมพ์ซ้ำทับได้แนบเนียน ใช้ง่าย รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้อย่ามีประสิทธิภาพ
ความนิยมเริ่มเกิดขึ้นเมื่อบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอเห็นเช่นนั้น ก็ขอน้ำยาลบหมึกของเธอมาใช้กันบ้าง และนี้ก็คือจุดกำเนิดน้ำยาป้ายคำผิด correcting fluid
ต่อมาเมื่อมีความต้องการน้ำยาป้ายคำผิดมากๆ นางเกรแฮมจึงพัฒนาสีน้ำสีขาวและทำการผลิตที่บ้านออกจำหน่าย ด้วยการผสมสีขาวลงในเครื่องปั่น กรอกใส่ขวดยาทาเล็บ เป็นอุสาหกรรมครอบครัวยาวนานถึง 17 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1979 เธอได้ขายกิจการให้บริษัทยิลเล็ต (Gillette) ในราคาที่สูงถึง 47.5 ล้านดอลลาร์ โดยสามารถผลิตน้ำยาลบคำผิดได้ถึง 25 ล้านขวด ออกจำหน่ายไปทั่วโลก
จากปัญหาเล็กๆ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้ ช่างเป็นไอเดียที่น่าชื่นชมจริงๆ เลยนะคะ ขอยกนิ้วให้เลย!!!

เสื้อเปื้อนทำไงดี

1. สีถ้าเสื้อผ้าคุณบังเอิญถูกสีกระเด็นใส่คุณสามารถขจัดคราบได้โดยการใช้น้ำมันสนเช็ดบริเวณที่เปื้อนสีทิ้งไว้สักพัก แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หรือใช้แอมโมเนียผสมน้ำจากนั้นเอาผ้าที่เปื้อนสีแช่ไว้ครึ่งชั่วโมงแล้วนำไปซักด้วยผงซักฟอกธรรมดา รอยเลอะของสีจะหลุดออกจากเสื้อผ้าของคุณ
2.ไวน์แดงการเลอะแบบนี้ เป็นการบ่งบอกความมีรสนิยมที่ดีในการดื่มเมื่อไวน์แดงในการสุดหรูเกิดหกใส่ชุดตัวเก่งของคุณวิธีง่ายๆในการกำจัดคราบคือ ให้คุณหาน้ำโซดาแถวๆนั้นราดลงไปบริเวณที่ไวน์แดงหกใส่ หรือใช้วิธีโรยเกลือทิ้งเอาไว้แล้วค่อยซักออกด้วยน้ำสบู่เท่านี้คุณก็จะได้ชุดสวยของคุณกลับคืนมายากแนะนำเคล็ดลับง่ายๆให้คุณลองนำไปใช้ดู...
3.เลือดสดทันทีที่รู้ว่าเสื้อผ้าคุณกำลังเปื้อนคราบเลือดคุณควรจะรีบนำไปแช่น้ำกับผงซักฟอก แต่หากคราบเลือดนั้นไม่ใช่คราบเลือดสดให้คุณนำเสื้อที่เปื้อนเลือดไปชุบน้ำเย็นหลังจากนั้นเอาเกลือโรยตรงบริเวณคราบเลือดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงนำมาซักด้วยน้ำสบู่อีกทีหรือใช้ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์หยดบนรอยเปื้อน ซึ่งจะทำให้เกิดฟองเมื่อหมดฟองใช้มือปัดให้แห้ง แล้วจึงนำไปซักตามปกติรอยเลือดที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าคุณก็จะไม่เป็นปัญหากวนใจคุณอีกต่อไป
4.น้ำผลไม้ / ยางผลไม้สิ่งที่จะช่วยในการกำจัดคราบเห็นจะไม่พ้นผลไม้ด้วยกัน คือ " มะนาว "ให้ใช้มะนาวถูลงบริเวณที่เปื้อน แล้วขยี้ออกด้วยน้ำอุ่นอีกครั้งส่วนเสื้อผ้าที่เปื้อนยางผลไม้ ให้ใช้แอลกอฮอล์เช็ดตรงรอยเปื้อนยางผลไม้จะหลุดออกแล้วจึงนำไปซักตามปกติ
5.ลิปสติกอันนี้อาจจะเป็นปัญหาสำหรับสาวๆ หรือแม้กระทั้งคุณผู้ชายที่ชอบมีกุ๊กกิ๊กจนหนูๆฝากรอยรักไว้ที่เสื้อสุดเท่ของคุณคุณสามารถกำจัดคราบลิปสติกได้ง่ายๆ โดยการนำน้ำตาลทรายมาผสมน้ำแล้วถูตรงบริเวณที่มีลิปสติกเปื้อน จากนั้นหาผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดออกอีกวิธีคือใช้ยาสีฟันหรือวาสลินทาตรงรอยเปื้อน แล้วเอาไปซักตามปกติคราบลิปสติกที่คุณกังวลก็จะจางหายไป
6.หมึกเมื่อชุดสุดเลิฟโดนหมึกหยดใส่ คุณสามารถแก้ปัญหาได้ถ้ามีสเปรย์ฉีดผมอยู่ใกล้ๆมือ ให้ฉีดสเปรย์ลงบนเสื้อที่เลอะรอยหมึกทันทีเพราะจะช่วยทำให้ซักรอยหมึกออกได้ง่ายขึ้น หรือใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดหากรอยหมึกยังไม่ออก ให้ราดด้วยน้ำมะนาวและผสมเกลือแช่ทิ้งค้างคืนไว้แล้วค่อยซักตามปกติ รอยหมึกก็จะเลือนหายไปแค่นี้คุณก็สามารถใส่ชุดสุดเลิฟได้อีกครั้ง
7.น้ำหอมมนต์เสน่ห์ตราตรึงสำหรับหนุ่มๆสาวๆแต่หากการใช้น้ำหอมต้องทำให้เสื้อผ้าคุณเปื้อนเป็นคราบน้ำหอมแล้วคุณควรนำเสื้อผ้าที่เปื้อนคราบน้ำหอมล้างออกด้วยน้ำเย็นถ้ายังไม่ออกให้ใช้สำลีชุบน้ำมันสนเช็ดบริเวณที่เปื้อนแล้วนำไปซักใหม่อีกครั้ง
8.หมากฝรั่งเคล็ดลับง่ายๆเมื่อมีคนวางกับดัก... และคุณก็เจอแจคพ็อตเข้าให้เสื้อตัวโปรดคุณโดนหมากฝรั่งติดหนึบมาแบบเต็มๆให้คุณเอาเสื้อที่มีหมากฝรั่งติด ไปแช่ช่องน้ำแข็งเพื่อให้หมากฝรั่งแข็งตัว แล้วค่อยดึงออกเท่านี้คุณก็หลุดจากกับดักที่มีคนวางไว้แล้ว
9.ช็อคโกแลต หรือ กาแฟหากเสื้อผ้าคุณเปื้อน ช็อคโกแลต หรือกาแฟคุณสามารถกำจัดคราบได้โดยใช้กลีเซอรีนทาทิ้งไว้บริเวณที่เปื้อนหลังจากนั้นจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่นกึ่งร้อนอีกครั้ง เพื่อละลายไขมันคราบเปื้อนที่เกิดจากช็อคโกแลต และกาแฟ ก็จะจางหายไป
10.คราบเหลืองบนเสื้อขาวคราบที่เกิดจากการเก็บผ้าไว้ในตู้เป็นเวลานานๆ หรือมีฝุ่นจับให้นำผ้าไปต้มน้ำโดยเติมโซดาไบคาร์บอเนตหรือที่เรียกกันว่า"เบ็กกิ้งโซดา" ลงไป แล้วจึงนำมาซักด้วยวิธีธรรมดา คราบสกปรกจะหายไปแล้วคุณก็จะได้เสื้อขาวปิ้งเหมือนใหม่กลับคืนมา

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

10 คำแนะนำการเพิ่มประสิทธิภาพ Wireless Network ภายในบ้านของคุณ

จากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีส่วนทำให้การติดตั้งระบบ Wireless Network ตามบ้านได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ถึงแม้อุปกรณ์ Wireless Network ในปัจจุบันจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีการรับส่งสัญญาณให้ดีขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก แต่ในบางครั้งหลายๆท่านก็ยังคงประสบปัญหาสัญญาณอ่อน, การรับส่งสัญญาณช้ากว่าที่ควรจะเป็นอยู่ ดังนั้น Tips & Tricks ในฉบับนี้จึงขอแนะนำวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Wireless Network ของคุณอย่างง่ายๆให้คุณลองนำไปประยุกต์ใช้กันให้เกิดประโยชน์สูงสุดกัน
1. วางตำแหน่ง wireless router ให้อยู่จุดกึ่งกลางของบ้านเนื่องจากเสาส่งสัญญาณของ wireless router โดยทั่วไปจะเป็นเสาแบบส่งสัญญาณรอบทิศทาง เป็นรัศมีวงกลมกระจายออกไป ดังนั้นเพื่อให้การรับส่งสัญญาณไร้สายภายในบ้านมีประสิทธิภาพมากที่สุดจึงควรวางตำแหน่งของ wireless router ในบริเวณกึ่งกลางบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้ประโยชน์จากลักษณะการส่งสัญญาณแบบนี้ให้มากที่สุด หากบ้านของคุณเป็นทาวเฮาส์หรือตึกแถวผมแนะนำให้วาง wireless router ไว้ที่ชั้นกลางของบ้าน จะช่วยให้การรับส่งสัญญาณไร้สายมีประสิทธิภาพสูงสุด
2. หลีกเลี่ยงการวาง Wireless Router ที่พื้น, ติดกำแพง, หรือใกล้โลหะนอกจากให้วาง Wireless Router ไว้บริเวณกึ่งกลางบ้านให้มากที่สุดแล้ว คุณยังควรหลีกเลี่ยงการวางไว้ที่พื้น การวางไว้ติดชิดฝาผนังบ้านโดยเฉพาะผนังคอนกรีต และการวางไว้ใกล้กับเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ที่เป็นโลหะ เช่นตู้เก็บเอกสารที่ทำด้วยเหล็กไว้ด้วย เพราะทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งสัญญาณไร้สายของตัว Wireless Router มีประสิทธิภาพต่ำลงทั้งสิ้น
3. เปลี่ยนเสาส่งสัญญาณเป็นเสาส่งสัญญาณความถี่สูงหาก Wireless Router ที่คุณใช้เป็นแบบที่สามารถถอดเปลี่ยนเสาส่งสัญญาณได้ ผมขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนเสาส่งสัญญาณความถี่สูงแบบต่อแยกต่างหากจากตัวเครื่องได้ เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มรัศมีในการรับส่งสัญญาณไร้สายให้กว้างไกลมากขึ้นแล้ว ยังสะดวกสบายในการปรับแต่งเคลื่อนย้ายการวางเสาไปไว้ในตำแหน่งที่น่าจะส่งสัญญาณกระจายไปทั่วบ้านได้ดีที่สุดได้อีกด้วย
4. เปลี่ยนตัวรับสัญญาณไร้สายในคอมพิวเตอร์ของคุณเป็นแบบ USB Network Adapterในบางกรณีการส่งสัญญาณของ Wireless Router ของคุณอาจมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว แต่การรับสัญญาณที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอาจจะยังไม่ดีพอเองก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นหากเครื่องโน้ตบุ๊กองเครื่องใช้ตัวรับสัญญาณไร้สาย(Wireless Adapter)แบบ PC Card ที่เสียบติดกับตัวเครื่อง ผมขอแนะนำให้ทดลองเปลี่ยนมาใช้ตัวรับสัญญาณแบบ USB แบบที่มีสายต่อเชื่อมยาวออกจากตัวเครื่องได้ ซึ่งคุณเคลื่อนย้ายตำแหน่งการจัดวางเพื่อให้สามารถรับคลื่นสัญญาณจาก Wireless Router ได้ดียิ่งขึ้น
5. เพิ่มรัศมีการรับส่งสัญญาณด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point เพิ่มเติมสำหรับคุณมีปัญหาไม่สามารถเคลื่อนย้าย Wireless Router จากตำแหน่งเดิมได้ และประสบปัญหาคลื่นสัญญาณอ่อน ผมขอแนะนำให้ติดตั้งอุปกรณ์ Access Point เพิ่มเติมอีกหนึ่งจุด ซึ่งเหมือนกับการเพิ่มระยะการรับส่งสัญญาณไปอีกอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว และนอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มไปในจุดต่างๆได้มากจุดเท่าที่คุณต้องการได้อีกด้วย โดยให้ตั้งตำแหน่งที่เป็นจุดกึ่งกลางของบริเวณที่คุณต้องการขยายรัศมีการรับส่งสัญญาณออกไป
6. เปลี่ยนคลื่นความถี่ในการส่งสัญญาณไร้สายของตัว Wireless Routerในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีในขณะนี้ คุณอาจจะยังไม่มีงบประมาณสำรองในการซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ Wireless Network ในบ้านของคุณ คุณอาจจะลองใช้วิธีปรับแต่งช่วงความถี่คลื่นในการรับส่งสัญญาณของ Wireless Router ของคุณเองก็ได้ โดยปกติ Wireless Router จะมีส่วนของ Wireless Channel ให้ทดลองปรับเปลี่ยนได้อยู่แล้ว ให้คุณเข้าไปปรับค่าในส่วนนี้ให้ค้นหาคลื่นความถี่ที่ดีที่สุดของคุณ ส่วนวิธีการปรับเปลี่ยนให้ศึกษาได้จากคู่มือใช้งาน Wireless Router ของคุณเอง
7. พยายามลดคลื่นรบกวนการรับส่งสัญญาณไร้สายให้มากที่สุดอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งสัญญาณไร้สายลดลงก็คือ การมีคลื่นรบกวนจากอุปกรณ์ต่างๆภายในบ้านที่มีการปล่อยคลื่นความถี่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นเตาไมโครเวฟ, โทรทัศน์, รวมไปถึงเครื่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม โดยเฉพาะอุปกรณ์ไร้สายอย่างเช่นโทรศัพท์ไร้สายที่ใช้ระดับคลื่นความถี่ที่ 2.4GHz ซึ่งเป็นระดับเดียวกับ wireless router จะสร้างคลื่นรบกวนให้การรับส่งสัญญาณเป็นอย่างมาก จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไร้สายอื่นๆที่ใช้คลื่นความถี่ระดับเดียวกันนี้ภายในบ้า
8. อัพเดทเฟิร์มแวร์และไดรเวอร์ของอุปกรณ์ไร้สายของคุณให้ใหม่สุดโดยทั่วไปบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ไร้สายจะมีการอัพเดทเฟิร์มแวร์และไดรเวอร์สำหรับอุปกรณ์ของตัวเองอยู่เป็นระยะๆอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการปรับปรุงการทำงานของตัวเครื่องและรองรับการทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการและอุปกรณ์ใหม่ๆได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในบางครั้งการอัพเดทยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย ผมจึงขอแนะนำให้คุณเข้าไปดูเว็บของบริษัทผู้ผลิตเป็นระยะๆ หากพบว่ามีอัพเดทใหม่ให้คุณดาวน์โหลดมาติดตั้งทันที เพื่อให้คุณสามารถใช้งานระบบ wireless network ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
9. พยายามเลือกซื้ออุปกรณ์ไร้สายต่างๆที่ใช้ร่วมกันจากผู้ผลิตรายเดียวกันคุณๆคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่าถ้าใช้อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายเดียวกันจะทำให้ประสิทธิภาพการงานทำโดยร่วมของระบบ Wireless Network ของคุณจะดีขึ้น ซึ่งก็เป็นจริงอย่างนั้นจริงๆด้วย เพราะถึงแม้แต่ละบริษัทผู้ผลิตจะผลิตอุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐานเดียวกันและสามารถทำงานร่วมกันได้จริง แต่ในบางครั้งบริษัทผู้ผลิตได้มีการเพิ่มเติมเทคโนโลยี่พิเศษเฉพาะของตัวเองเข้าไป ซึ่งจะทำใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดหากใช้ร่วมกับอุปกรณ์ที่มาจากผู้ผลิตรายเดียวกัน การเลือกซื้ออุปกรณ์ไร้สายต่างๆจากผู้ผลิตเดียวกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
10. เลือกซื้ออุปกรณ์ไร้สายที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11g หรือดีกว่าขึ้นไปหากคุณพอมีทุนทรัพย์ในการอัพเกรดระบบ Wireless Network เดิมที่ใช้อุปกรณ์ไร้สายมาตรฐาน IEEE 802.11b ให้คุณเลือกซื้ออุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11g เป็นอย่างน้อย ซึ่งมีรัศมีและความเร็วในการรับส่งสัญญาณสูงกว่ามาตรฐานเดิมเป็นอย่างมาก แต่ถ้าให้ดีที่สุดควรเลือกซื้ออุปกรณ์ไร้สายที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11n ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่มีความเร็วในการรับส่งสัญญาณได้มากกว่ามาตรฐาน 802.11g ถึง 5 เท่าตัว และที่สำคัญสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์มาตรฐานเก่าได้อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชาเขียวหยุดมะเร็งได้จริงมน.แนะกินคู่ผักผลไม้ให้ฤทธิ์เสริมกัน

นักวิจัยญี่ปุ่นเผยผลวิจัยสารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งแนะดื่มชาเขียววันละ 10 แก้ว ควบคู่กับผักผลไม้ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ ด้านนักวิจัยไทยยันกินมังสวิรัติป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชี้โอกาสเป็นน้อยกว่าคนกินเนื้อ
ศ.ดร.ฮิโรตะฟูจิกิ ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยผลการวิจัยสารสกัดชาเขียวกับโอกาสในการพัฒนายารักษาโรคมะเร็ง ในการประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ครั้งที่ 2 จัดโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยว่า ชาเขียวเป็นพืชที่นักวิทยาศาสตร์สนใจศึกษาการออกฤทธิ์ยับยั้งโรคมะเร็งอย่างแพร่หลาย ผลการวิจัยพบความเป็นไปได้ ในการนำชาเขียวมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคมะเร็งในอนาคตอันใกล้
งานวิจัยยืนยันว่าในชาเขียวมีสารแคททีชิน(catechin) ซึ่งทำลายเซลล์มะเร็งได้ ผลจากการวิจัยยังพิสูจน์ว่าการดื่มชาเขียวอย่างต่อเนื่อง ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เนื่องจากเป็นสารที่สกัดได้จากธรรมชาติ
ที่ผ่านมานักวิจัยได้ศึกษาประสิทธิผลของสารสกัดชาเขียวในอาสาสมัครที่เป็นมะเร็งแล้วไม่ต่ำกว่า 400 ราย เบื้องต้นพบว่าการดื่มชาเขียวสามารถชะลอการป่วยด้วยโรคมะเร็งออกไป แต่หากป่วยแล้วก็ช่วยป้องกันการลุกลามของโรคได้ แต่ต้องดื่มถึงวันละ 10 ถ้วย อย่างไรก็ตาม ผลของการบริโภคชาเขียวจะดียิ่งขึ้นหากรับประทานควบคู่กับผักผลไม้เป็นประจำ ทั้งนี้เนื่องจากผักผลไม้มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้
ศ.เกียรติคุณดร.ไมตรี สุทธจิตต์ ภาควิชาชีวเคมี สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) กล่าวว่า ผักและผลไม้สามารถช่วยยับยั้งการเกิดของเซลล์มะเร็งเยื่อบุผิว เช่น มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งผิวหนัง รวมถึงมะเร็งปอดได้จริง จากการวิจัยที่มีการศึกษาในทั่วโลก โดยมะเร็งเยื่อบุผิวเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเกิดมากที่สุดหรือ 80% ของมะเร็งที่มีทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ จะมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่า เนื่องจากในผักผลไม้มีวิตามิน ไฟเบอร์ และสารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ขณะที่เนื้อสัตว์อุดมไปด้วยไขมัน คอเลสเตอรอล สาเหตุสำคัญของโรค เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น
การดื่มชาเขียวควบคู่กับผักผลไม้มีส่วนช่วยยับยั้งกลไกของยีนก่อมะเร็ง เหมาะสำหรับคนที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง และป้องกันการเป็นมะเร็งซ้ำ ดังนั้น การรับประทานมังสวิรัติหรืออาหารเจ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันแม่ในประเทศต่างๆ

ท่านทราบหรือไม่ว่า วันแม่แห่งชาติของประเทศต่างๆทั่วโลกนั้น ตรงกันวันไหน เดือนอะไรบ้าง? มาดูกันเลยดีกว่า

ประเทศรัสเซีย กำหนดเอาวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันแม่แห่งชาติ
สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ใช้วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ
ประเทศนอรเวย์ กำหนดเอาวันอาทิตย์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์
วันที่ 8 มีนาคม ในประเทศ บัลแกเรีย, แอลเบเนีย
วันอาทิตย์ที่สี่ในฤดูถือบวชเล็นท์ (มาเทอริง ซันเดย์) (วันไหนก็ไม่รู้) ในประเทศ สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์
วันที่ 21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผ ลิ) ในประเทศ จอร์แดน, ซีเรีย, เลบานอน, อียิปต์
วันอาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม ในประเทศ โปรตุเกส, ลิทัวเนีย, สเปน, แอฟริกาใต้, ฮังการี
วันที่ 8 พฤษภาคม ในประเทศ เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)
วันที่ 10 พฤษภาคม ในประเทศ กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้, บาห์เรน, ปากีสถาน, มาเลเซีย, เม็กซิโก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย, โอมาน
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม ในประเทศ แคนาดา, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บราซิล, เบลเยียม, เปรู, ฟินแลนด์, มอลตา, เยอรมนี, ลัตเวีย, สโลวาเกีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, อิตาลี, เอสโตเนีย, ฮ่องกง
วันที่ 26 พฤษภาคม ในประเทศ โปแลนด์
วันที่ 27 พฤษภาคม ในประเทศ โบลิเวีย
วันอาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ในประเทศ สาธารณรัฐโดมินิกัน, สวีเดน
วันอาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายนหรือ อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ในประเทศ ฝรั่งเศส
วันที่ 12 สิงหาคม ในประเทศไทยของเราเอง (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ)
วันที่ 15 สิงหาคม (วันอัสสัมชัญ) ในประเทศ คอสตาริกา, แอนท์เวิร์ป (เบลเยียม)
วันอาทิตย์ที่สองหรือสามของเดือนตุลาคม ในประเทศ อาร์เจนตินา (Día de la Madre)
วันที่ 28 พฤศจิกายน ในประเทศ รัสเซีย
วันที่ 8 ธันวาคม ในประเทศ ปานามา
วันที่ 22 ธันวาคม ในประเทศ อินโดนีเซีย