วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553


ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (อังกฤษ: Diana, Princess of Wales) หรือพระนามเต็มคือ ไดอานา ฟรานเซส สกุลเดิม สเปนเซอร์ (Diana Frances, née The Lady Diana Spencer) (ประสูติ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ที่เมืองแซนดริงแฮม ประเทศอังกฤษ — สิ้นพระชนม์ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส) เป็นพระชายาพระองค์แรกของเจ้าฟ้าชายชาลส์ แห่งเวลส์ จากการอภิเษกสมรสเมื่อปี พ.ศ. 2524 และได้ทรงหย่าขาดเมื่อปี พ.ศ. 2539 พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เป็นพระองค์ที่ 9 ของอังกฤษ สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปนิยมขนานพระนามว่า "เจ้าหญิงไดอานา" ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วพระนามนี้ถือว่าผิดในทางทฤษฎี
นับตั้งแต่ทรงหมั้นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ในปี พ.ศ. 2524 จนกระทั่งการสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุรถยนต์ ในปี พ.ศ. 2540 ไดอานาเป็นผู้หญิงสำคัญคนหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะความสนพระทัย การฉลองพระองค์ รวมถึงพระกรณียกิจของพระองค์ได้รับความสนใจจากทั่วทุกมุมโลก พระองค์ทรงเป็นผู้นำแฟชั่น เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม ความหวังของผู้ป่วยโรคเอดส์ และทูตสันถวไมตรีที่เชื่อมทุกความขัดแย้ง แต่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือพระองค์ทรงเป็นพระราชินีในดวงใจของประชาชนอีกด้วย ตลอดทั้งพระชนม์ชีพพระองค์เป็นผู้ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดคนหนึ่งในโลกราวกับนักแสดงที่มีชื่อเสียง

เหตุการณ์ก่อนสิ้นชีวิต
อุบัติเหตุ
รถพระที่นั่งภายหลังจากเกิดอุบัติเหตุเมื่อวันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เวลา 15.37 น. มีผู้พบเห็นไดอานาลงจากเครื่องบินที่มีต้นทางจากหมู่เกาะซาร์ดิเนียทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ที่สนามบินเลอร์ บู เจ๊ตในกรุงปารีส ในเวลาประมาณ 15.40น. เจ้าหญิงได้ขึ้นรถ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส 280 สีดำ รุ่นปี 1997 ออกจากสนามบินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับทรงนัดพบกับ โดดี อัลฟาเยด์ ที่อพาร์ตเมนต์กลางกรุงปารีส หลังจากนั้น เวลาประมาณ 17.45 น. มีผู้พบเห็นไดอานากับนายโดดี พร้อมองครักษ์ อีกครั้งขณะช็อปปี้งในย่านถนน "ชองเซลีเซ่" ขณะนั้นช่างภาพอิสระรุมถ่ายภาพระองค์กับนายโดดี โดยเวลา 18.40 น. เจ้าหญิงจึงเสด็จกลับ มีการดักฟังทางโทรศัพท์ว่า เจ้าหญิงจะทรงพบกับนายโดดีอีก ที่โรงแรมริทซ์เพื่อเลี้ยงพระกระยาหารค่ำในเวลา 21.31 น. และเจ้าหญิงได้เสด็จถึงโรงแรมเมื่อเวลา 21.31 โดยในระหว่างเวลา 21.40-23.30 น. เจ้าหญิงได้อยู่ในภัตตาคารอันหรูหราของนายโดดี แต่มีรายงานการใช้โทรศัพท์ของเจ้าหญิงว่าได้โทรศัพท์ไปถึงโหรหญิงและเจ้าของร้านอาหารอิตาเลียนในกรุงลอนดอน พระสหายสนิทพระองค์ เพื่อทำนายดวงชะตาและขอคำปรึกษาปัญหาชีวิตภายในอีก 2-3 อาทิตย์ข้างหน้า

ก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย เจ้าหญิงไดอาน่าได้เสด็จออกจากโรงแรมริตซ์พร้อมกับนายโดดี อัลฟาเยด ช่างภาพอิสระชุดเก่าที่จึงสะกดรอยตามพระองค์อีกครั้ง จนมาถึงถนนลอดอุโมงค์ที่ชื่อว่า ปองต์ เดอ อัลมา ใต้แม่น้ำเซน แต่รถยนต์ซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วประมาณ 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อหลบหนีการตามล่าของเหล่าช่างภาพอิสระ ก็ได้พุ่งชนกับแผงราวเหล็กกั้นอุโมงค์อย่างจัง เนื่องจากถนนลอดอุโมงค์มีความลาดชันมาก ทำให้รถยนตหมุนตัวและพุ่งชนแผงเหล็กอีกด้านหนึ่ง ส่งผลให้หม้อน้ำเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง โดยอองรี ปอล คนขับรถและนายโดดี เสียชีวิตทันที ส่วนเจ้าหญิงและนายเทรเวอร์ เรสยอนส์ องครักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหญิงมีบาดแผลฉกรรจ์ที่พระพักตร์(ใบหน้า)และพระเศียร(ศีรษะ) มีพระโลหิต(เลือด)ไหลออกมากและยังมีพระโลหิตตกค้างในพระปัปผาสะ(ปอด) เมื่อเวลา 00.15 น. รถพยาบาลคันแรกของโรงพยาบาลเซ็นต์เดอลาปีแอร์มารับเจ้าหญิงและองครักษ์ หลังจากนั้นอีกชั่วโมงกว่า แต่เจ้าหญิงนั้นทรงเสียพระโลหิตมาก และยังมีพระโลหิตตกค้างในพระปัปผาสะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากด้วย โดยพระองค์มีพระอาการทรงตัวต่อมาเรื่อยๆ จนเมื่อเวลา 03.35 น. พระหทัยของไดอาน่าอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนหยุดเต้น

สิ้นพระชนม์
หลังจากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เวลา 04.00 น. ดร.บรูโน ริโอ แพทย์ผู้ทำการรักษาเจ้าหญิงไดอานา ประกาศว่า ไดอาน่า อดีตเจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการพระโลหิตตกค้างในพระปัปผาสะในและสูญเสียพระโลหิตมาก ส่วนนายเทรเวอร์ เรสยอนส์ องครักษ์นั้นเป็นคนเดียวในอุบัติเหตุที่รอดชีวิต สำนักพระราชวังบัคกิงแฮมได้ออกแถลงการณ์ยืนยันในวันรุ่งขึ้น และแจ้งว่าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายวิลเลียม และ เจ้าชายแฮร์รี แห่งเวลส์ ทรงทราบข่าวแล้ว สมเด็จพระราชินีนาถ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดงานพระศพได้ที่ มหาวิหารเวสมินเตอร์ โดยพระราชวงศ์อังกฤษทุกพระองค์เสด็จฯ เข้าร่วมพิธีพระศพ เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี่ซึ่งยังคงทรงโศกเศร้ามากนั้น มีคุณปีเตอร์ ฟิลิปส์ (พระโอรสในเจ้าฟ้าหญิงแอนน์) จับมือและคอยให้กำลังใจตลอดเวลา แขกสำคัญนอกจากพระราชวงศ์ทุกพระองค์แล้วยังมีครอบครัวสเปนเซอร์ทุกคน และมีผู้ร่วมไว้อาลัยประมาณ 3,500 คน

ถวายการไว้อาลัยแด่เจ้าหญิงแห่งเวลส์
ผู้คนทั่วทั้งโลกล้วนตกตะลึงและโศกเศร้ากับข่าวการสิ้นพระชนม์ของไดอาน่า ดอกไม้หลายล้านดอกและจดหมายนับล้านๆ ฉบับถูกส่งถึงหน้าพระราชวังเพื่อไว้อาลัยถวายแด่เจ้าหญิงแห่งเวลส์ โดยมีบุคคลสำคัญที่ได้แสดงความไว้อาลัยแก่ไดอานา เช่น สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เลดี้ซาราห์ แม็กคอเดลและ เลดี้เจน เฟเลอว์ พระเชษฐภคินีของเจ้าหญิง ชาร์ลส์ เอิร์ล สเปนเซอร์ พระอนุชา และเซอร์เอลตัน จอห์น ได้ร้องเพลง Candle in the wind เพื่อบรรเลงถวายอาลัยแก่ไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ในงานพระศพ

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Mariah Carey


มารายห์ แครี (อังกฤษ: Mariah Carey) เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 เป็นนักร้องชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์เพลง และนักแสดง เธอมีผลงานเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การชักนำของผู้บริหารค่ายเพลงโคลัมเบียเรเคิดส์ ทอมมี มอตโตลา และได้กลายเป็นศิลปินคนแรกที่มี 5 ซิงเกิ้ลแรกติดชาร์ตอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮอต 100 หลังจากนั้นเธอได้แต่งงานกับมอตโตลาในปี ค.ศ. 1993 มีผลงานเพลงฮิตมากมายและยังทำให้เธอเป็นศิลปินที่มียอดขายสูงสุดของค่ายโคลัมเบีย และจากข้อมูลของนิตยสารบิลบอร์ด เธอเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 1990 ในสหรัฐอเมริกา
หลังจากที่เธอเลิกรากับมอตโตลาในปี ค.ศ. 1997 แครีได้เริ่มทำเพลงฮิปฮอปในผลงานอัลบั้มของเธอ ที่ในเบื้องต้นแล้วประสบความสำเร็จดี แต่ความนิยมของเธอก็ลดลงหลังจากเธอออกจากโคลัมเบียในปี ค.ศ. 2001 เธอเซ็นสัญญากับเวอร์จินเรเคิดส์แต่ล้มเหลวจากค่ายเพลงที่ซื้อสัญญาคืนในปีถัดมาหลังจากที่เธอสติแตกต่อสาธารณะชน เช่นเดียวกับเสียงตอบรับด้านลบจากภาพยนตร์ Glitter และผลงานอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ ต่อมาในปี ค.ศ. 2002 แครีเซ็นสัญญากับค่ายไอแลนด์เรเคิดส์ และหลังจากไม่ค่อยที่จะประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เธอก็กลับมาขึ้นอันดับต้น ๆ ของเพลงป็อปในปี 2005
แครีมียอดขายอัลบั้ม ซิงเกิ้ลและวิดีโอมากกว่า 175 ล้านชุด ทั่วโลก เธอยังมีชื่อว่าเป็นศิลปินป็อปหญิงที่มียอดขายมากที่สุดในสหัสวรรษจากงานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส 2002 และจากข้อมูลของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา เธอเป็นศิลปินหญิงที่มียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับ 3 และเป็นอันดับ 17 ของศิลปินทั้งหมดด้วยยอดขายอัลบั้มมากกว่า 62.5 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกา เธอยังติดอันดับศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดในยุคการสำรวจยอดขายโดยนีลสันซาวด์สแกนของสหรัฐอเมริกา (เป็นที่ 3 ของศิลปินทั้งหมด) เธอยังเป็นศิลปินเดี่ยวที่มีซิงเกิ้ลอันดับ 1 มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา (18 ซิงเกิ้ล เป็นที่สองรองจากวงเดอะบีตเทิลส์) นอกจากนั้นเธอยังได้รับรางวัลแกรมมี่ 5 ครั้ง และเธอยังเป็นที่รู้จักในความสามารถการร้องเพลงที่มีช่วงกว้าง ทรงพลัง การร้องเทคนิคที่เรียกว่า "เมลิสม่า" และการใช้ whistle register
ประวัติ
ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว ปี 1970 ถึง 1990
มารายห์ แครี เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 ที่ เมืองฮันติงตัน มลรัฐนิวยอร์ก เป็นบุตรคนที่สามและคนสุดท้องของนักร้องโอเปราและนักฝึกสอนการขับร้องชาวไอริชอเมริกัน ชื่อ แพทรีเชีย ฮิกกี้ กับ วิศวกรอากาศยานชาวเวเนซูเอล่า-แอฟริกัน ชื่อ อัลเฟรด รอย แครี แครีมีพี่สาวชื่อ แอลิสัน อายุมากกว่าเธอสิบปี และพี่ชายชื่อ มอร์แกน อายุมากกว่าเธอเก้าปี ชื่อของแครีนั้นไม่มีชื่อกลาง ส่วนชื่อ "มารายห์" มีที่มามาจากเพลง "(And They Call the Wind) Mariah" ในละครบรอดเวย์เรื่อง "Paint Your Wagon"
จากการที่แครีมีผู้ปกครองมาจากชาติพันธุ์ที่ต่างกัน ครอบครัวของเธอจึงประสบกับปัญหาทางด้านการแบ่งแยกเชื้อชาติเสมอ ตั้งแต่การโดนดูถูก เมินเฉย หรือแม้กระทั่งถูกกระทำด้วยความรุนแรง เป็นผลให้ครอบครัวของแครีต้องย้ายที่อยู่ไปรอบ ๆ กรุงนิวยอร์กบ่อย ๆ เพื่อหาที่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ความตึงเครียดภายในครอบครัวได้ทำให้บิดามารดาของเธอหย่าร้างกันในที่สุด ซึ่งขณะนั้น แครีมีอายุได้สามขวบเท่านั้น แครีและมอร์แกนอาศัยอยู่กับมารดาในขณะที่แอลิสันไปอาศัยอยู่กับผู้เป็นบิดา แครีไม่ค่อยได้ติดต่อกับบิดาของเธอเท่าใดนักยกเว้นช่วงวันหยุด แต่ก็น้อยลงเมื่อเธอมีอายุมากขึ้น แพทริเชียเลี้ยงดูแครีขณะที่เธอต้องทำงานสองถึงสามงานและก็ยังคงต้องย้ายที่อยู่อาศัยอยู่บ่อย ๆ ในเขตลองไอแลนด์
มารายห์ แครี เริ่มร้องเพลงเมื่ออายุได้สามขวบ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ของเธอเชื่อว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลง จริง ๆ แล้วแพทริเชียชอบพาแครีไปดูการซ้อมโอเปราอยู่บ่อย ๆ แครีเริ่มแสดงต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกเมื่อเธออายุหกขวบและเริ่มประพันธ์เพลงครั้งแรกตอนกำลังศึกษาในชั้นประถม แครีเรียนจบจากโรงเรียนประถมโอลด์ฟิลด์และโรงเรียนมัธยมฮาร์เบอร์ฟิลด์สใน กรีนลอว์น นิวยอร์ก แต่มักจะขาดเรียนอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเธอพยายามจะเข้าสู่วงการบันเทิง ทำให้เธอได้ฉายาว่า "มิราจ" (ภาพลวงตา) จากเพื่อน ๆ และเป็นเรื่องแปลกที่แครีไม่เคยเข้าร่วมวงร้องเพลงประสานเสียงของโรงเรียนเลย
ต่อมา เธอได้รับงานเป็นนักร้องเสียงประสานให้กับ เบรนด้า เค. สตารร์ และในปี ค.ศ. 1988 ในช่วงนั้น แครีได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจากค่ายเพลง "โคลัมเบีย" ชื่อ ทอมมี่ มอตโตล่า ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งซึ่งเพื่อนของเธอได้นำม้วนเทปตัวอย่างที่อัดเสียงของแครีตอนร้องเพลงเอาไว้ให้กับเขา เทปม้วนนั้นถูกเปิดในงานเลี้ยงและทอมมี่ก็ประทับใจกับสิ่งที่ได้ฟังเป็นอย่างมาก เขาจึงกลับไปที่งานเลี้ยงเพื่อตามหาแครี แต่เธอก็กลับไปแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถตามหาแครีจนพบและเซ็นสัญญาให้เข้ามาอยู่ในสังกัด เหตุการณ์ที่เหมือนกับเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลล่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องเล่าในวงการบันเทิงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของแครีสู่สายตาของสาธารณชน
ความสำเร็จไปทั่วโลก ปี 1993 ถึง 1996
มารายห์กับวงบอยซ์ ทู เม็น ในเพลง One Sweet Day
ตัวอย่างเพลง "One Sweet Day" (ข้อมูล)มารายห์ แครี แต่งงานกับ ทอมมี่ มอตโตล่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทโซนี่ในขณะนั้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1993 ที่แมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา ต่อมาแครีออกผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ที่ชื่อว่า Music Box อัลบั้มชุดนี้มียอดขายรวมมากกว่า 10 ล้านชุด โดยที่เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล "Dreamlover" ที่ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกานาน 8 สัปดาห์ และซิงเกิ้ลถัดมา เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้กำลังที่ชื่อ "Hero" ก็ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา นาน 4 สัปดาห์ นิตยสารบิลบอร์ดกล่าวไว้ว่า "ช่างปวดใจเหลือเกิน ...เป็นการใช้สิ่งพื้นฐาน ง่ายๆ ของแครี เสียงของเธอช่างเป็นธรรมชาติกับเพลง" แต่ทาง นิตยสารไทม์ กล่าวทำนองว่า "อัลบั้ม Music Box นี้ ดูทำเป็นพอพิธี และขาดความน่าหลงใหล ... แครีสามารถเป็นนักร้องเพลงป็อป-โซล ที่ดีได้ แทนการพยายามทำให้เหมือนความสามัญอย่างซาลิเอรี" แครีได้ออกมาให้ความเห็นว่า "ทันทีที่คุณประสบความสำเร็จ ก็จะมีหลายๆ คนไม่ชอบอย่างนั้น ฉันทำอะไรไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ฉันพอทำได้คือทำดนตรีในสิ่งที่ฉันเชื่อมั่น" คำวิจารณ์ส่วนใหญ่จะเกิดก่อนการทัวร์ Music Box Tour ในอเมริกาเล็กน้อย ส่วนซิงเกิ้ลที่ 3 เพลง "Without You" ซึ่งเป็นเพลงดังของแฮรี นิลล์สัน ที่เธอนำมาขับร้องใหม่ ก็เป็นเพลงแรกที่ไปติดอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรได้เป็นเพลงแรก
ช่วงปี ค.ศ. 1994 แครีได้ร่วมงานกับ ลูเธอร์ แวนดรอส ในอัลบั้ม Songs โดยได้นำเพลง "Endless Love" เพลงเก่าของไลโอเนล ริชชี และ ไดอาน่า รอสส์ กลับมาร้องใหม่ ปลายปีเดียวกันนั้น แครียังได้ออกอัลบั้มคริสต์มาสอีก 1 ชุด โดยที่เธอได้มีส่วนร่วมในการประพันธ์เพลง "All I Want For Christmas Is You" ที่อยู่ในอัลบั้มชุดนี้ด้วย ซิงเกิ้ลนี้มียอดขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นถึง 1.1 ล้านชุดด้วยกัน และยังคงเป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดของเธอในญี่ปุ่นอีกด้วย เว็บไซต์ All Music Guide วิจารณ์ไว้ว่า "ทำให้ดูเหมือนอุปรากรชั้นสูงในเพลง 'O Holy Night' และทำเพลงแด๊นซ์คลับที่ดูน่ากลัวในเพลง 'Joy to the World'" อัลบั้มชุดนี้ก็ถือเป็นอัลบั้มเพลงคริสต์มาสที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล
ในปี ค.ศ. 1995 แครีได้ออกผลงานอัลบั้ม Daydream ซึ่งอัลบั้มชุดนี้เธอผสมผสานดนตรีแนวอาร์แอนด์บี ฮิปฮอป และป็อปเข้าด้วยกัน โดยอัลบั้มนี้มีเพลง "Fantasy" เป็นซิงเกิ้ลแรก ทำงานร่วมกับ โอล' เดอร์ตี บาสตาร์ด ศิลปินฮิปฮอป แครีพูดว่าทางค่ายโคลัมเบีย ต้นสังกัด ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงในชุดนี้ "ทุกๆ คนพูดเหมือนว่า 'คุณบ้าไปแล้วเหรอ' พวกเขารู้สึกกังวลมากในการเปลี่ยนแปลงสูตรเก่า ๆ" เพลงนี้ก็สามารถขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาทันทีในสัปดาห์แรกที่เข้าตารางอันดับเพลง ซึ่งนับเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำสถิติได้เช่นนี้ และเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกเป็นเพลงที่ 2 ถัดจากเพลง "You Are Not Alone" ของ ไมเคิล แจ็กสัน อีกด้วย ส่วนซิงเกิ้ลที่ 2 เพลง "One Sweet Day" ที่ร่วมร้องกับวงแนวดนตรีอาร์แอนด์บีที่ชื่อ บอยซ์ ทู เม็น ก็ขึ้นอันดับ 1 นานที่สุดในประวัติศาสตร์บนตารางอันดับเพลงซิงเกิ้ลในสหรัฐอเมริกา นานถึง 16 สัปดาห์ และซิงเกิ้ลที่ 3 "Always Be My Baby" ที่ร่วมงานกับเจอร์เมน ดูปริ สามารถขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน รวมถึง มียอดการเปิดออกอากาศมากที่สุดประจำปี ค.ศ. 1996 ด้วย
นิตยสารบิลบอร์ด พูดว่า อัลบั้ม Daydream ได้สร้างเสียงตอบรับที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับอาชีพนักร้อง และนิวยอร์กไทม์ยังให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในปี 1995 และยังเขียนไว้ว่า " การตัดความเป็นป็อปลูกกวาดออกสู่ ความละเอียดปราณีต ... การเขียนเพลงของเธอได้ก้าวกระโดด ผลคือดูสบายขึ้น เซ็กซี่ขึ้น และดูลดความน่าเบื่อคุ้นหูออก
นอกจากผลงานของเธอแล้ว ในช่วงปีนี้ แครียังได้ไปร่วมประสานเสียงให้กับเพลง "Everytime I close My Eyes" ของเบบี้เฟส อีกด้วย

Marilyn Monroe


มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) ชื่อเดิม นอร์ม่า จีน เบเกอร์ (1 มิถุนายน พ.ศ. 2469 - 5 สิงหาคม พ.ศ. 2505) เป็นอดีตนักแสดง นักร้อง นางแบบชื่อดัง ชาวอเมริกัน
ประวัติ
มาริลิน มอนโร คำว่ามาริลีนมาจากชื่อของดาราละครเพลงยุค 20 คือ มาริลีน มิลเลอร์ ส่วนมอนโร มาจากนามสกุลเดิมของคุณยายของเธอ จีน นอร์แมน คือชื่อที่ มาริลีน ใช้ขณะเป็นนางแบบ
มาริลิน มีมารดาเป็นโรคทางประสาท บิดาสาบสูญ เป็นเหตุให้ชีวิตช่วงวัยเด็กต้องอาศัยอยู่ตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อตอนอายุ 12 ปีเธอค้นพบว่าต้วเองมีแรงดึงดูดทางเพศอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก เมื่อครั้งที่เธอสวมสเวตเตอร์พร้อมกับทาลิปสติกเป็นครั้งแรกไปโรงเรียน เธอเล่าว่าเมื่อเธอเดินเข้าไปในโรงเรียน นักเรียนชายต่างก็มองเธอเป็นตาเดียว บางคนก็ผิวปาก และบางคนก็เข้ามาหาเธอก็มี ในขณะที่นักเรียนหญิงต่างก็มองเธอด้วยความสนใจ และอิจฉาเธอ
เมื่ออายุ 16 ปี จึงเริ่มอาชีพนางแบบ ต่อมาก็เริ่มแสดงภาพยนตร์ซึ่งล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อย ภาพยนตร์เรื่อง Gentleman Prefer Blondes (1953) เธอได้ค่าตัวอาทิตย์ละ 500 เหรียญ ในขณะที่ เจน รัสเซล ดารานำอีกคนได้ 200,000 เหรียญสำหรับภาพยนตร์ 1 เรื่อง แต่ตัวหนังทำเงินถล่มถลายและมาริลีนกลายเป็นดาราดังไปในทันที ในฉากที่เธอร้องเพลง Diamonds Are A Girls's Bestfriend ที่ถูกมาดอนน่าเลียนแบบในมิวสิกวิดีโอ Material Girl ก็นำมาจาก
ภาพยนตร์เรื่อง The Seven Year Itch (1955) มีฉากที่เป็นอมตะของเธอที่ถูกลมพัดจนกระโปรงขึ้นมา จากฉากนี้เป็นเรื่องราวทำให้เธอหย่ากับสามี (โจ ดิแมกจิโอ นักเบสบอลชื่อดัง)
ผลงานเพลง
นอกจากบทบาทการแสดงแล้วในภาพยนตร์แทบทุกเรื่องมักจะมีฉากที่ มาริลีน ร้องเพลงอยู่ด้วยเสมอ และเธอมักจะถูกพูดถึงเสมอในฉากร้องเพลง มาริลีนเคยให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจที่สุดในการแสดงอย่างใดๆ ก็แล้วแต่ การร้องเพลงและการแสดงประกอบเป็นสิ่งที่เธอถนัดที่สุด
นอร์มา จีน เบเกอร์ สมัยที่ยังไม่สวยโฉบเฉี่ยวเธอได้โชว์เสียงเป็นครั้งแรกกับเพลง Every Baby Needs A Da Da Daddy และ Anyone Can Tell I Love You ในภาพยนตร์เรื่อง La-dies Of The Chorus (พ.ศ. 2491) และในปี พ.ศ. 2493 กับ Oh,What A Forward Young Man You Are ในภาพยนตร์เรื่อง A Ticket To Tomahawk ซึ่งมาริลีนแสดงเป็นแค่ตัวประกอบ 1 ใน 3 สาวคอรัส ส่วนฉากที่เรียกได้ว่าทำให้ มาริลีน เริ่มกลายเป็น Sex symbol ส่วนนึงมาจากภาพยนตร์เรื่อง Niagara (1953) ต่อมาเธอได้ร้องเพลง Two Littles Girls From Little Rock, Bye Bye Baby และ When Love Goes Wrong (Nothing Goes Right) ในภาพยนตร์เรื่อง Gentleman Prefer Blondes และต่อมาเพลงที่ถูกมาดอนน่าเลียนแบบไปใน Diamonds Are A Girls's Bestfriend และฉากที่ไม่มีใครลืมเธอเมื่อมาริลีน ร้องเพลง River Of No return กับเปียโนกับชื่อหนังเรื่องเดียวกันในปี 1954
และผลงานนอกจอคือการที่เธอไปร้องเพลง Happy Birthday To You ให้กับประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี ที่เมดิสัน สแควร์ การ์เด็น เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คน
เสียชีวิต
มาริลิน มอนโร เสียชีวิตที่ แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา โดยแม่บ้านของมอนโรชื่อ ยูนิส มูร์เรย์ เป็นผู้พบเห็น เสียชีวิตเพราะใช้ยาเกินขนาด เป็นกรณีศึกษาการเสียชีวิตที่เหมือนกับกรณี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่เสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม
อิทธิพลต่อคนรุ่นหลัง
มาริลีน มอนโรมีอิทธิพลกับดาราและศิลปินมากมาย นอกจากมาดอนน่า แล้ว เอลตัน จอห์นเคยร้องเพลงอุทิศให้กับเธอมาแล้วกับ Candle In The Wind ในปี 1973 แต่งเนื้อโดย Bernie Taupin เนื้อหาก็เปรียบชีวิตของมาริลีน เหมือนเปลวเทียนและอุปสรรค ความเหงา โดดเดี่ยว ก็เหมือนสายลมที่เป่าจนเทียนดับลงไป

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์




อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (เยอรมัน: Albert Einstein) (14 มีนาคม พ.ศ. 2422 - 18 เมษายน พ.ศ. 2498) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน (ตามลำดับ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม สถิติกลศาสตร์ และจักรวาลวิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี พ.ศ. 2464 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และจาก "การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี"

หลังจากที่ไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ในปี พ.ศ. 2458 เขาก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยธรรมดานักสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ในปีต่อ ๆ มา ชื่อเสียงของเขาได้ขยายออกไปมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของความฉลาดหรืออัจฉริยะ ความนิยมในตัวของเขาทำให้มีการใช้ชื่อไอน์สไตน์ในการโฆษณา หรือแม้แต่การจดทะเบียนชื่อ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" ให้เป็นเครื่องหมายการค้า

ตัวไอน์สไตน์เองมีความระลึกถึงผลกระทบทางสังคม ซึ่งมีผลมาจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่เขาได้เป็นปูชนียบุคคลแห่งความบรรลุทางปัญญา เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุดในยุคปัจจุบัน ทุกการสร้างสรรค์ของเขายังคงเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งในความเชื่อในความสง่า ความงาม และความรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล (คือแหล่งเสริมสร้างแรงบันดาลใจในวิทยาศาสตร์ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่) เป็นสูงสุด ความชาญฉลาดเชิงโครงสร้างของเขาแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของจักรวาล ซึ่งงานเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านผลงานและหลักปรัชญาของเขา ในทุกวันนี้ ไอน์สไตน์ยังคงเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุด ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์และนอกวงการ

ไอน์สไตน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2498 ด้วยโรคหัวใจ

ผลงานของไอน์สไตน์ในสาขาฟิสิกส์มีมากมาย ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่ง:

ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งนำกลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นไปตาม equivalence principle
วางรากฐานของจักรวาลเชิงสัมพัทธ์ และค่าคงที่จักรวาล
ขยายแนวความคิดยุคหลังนิวตัน สามารถอธิบายจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดของดาวพุธได้อย่างลึกซึ้ง
ทำนายการหักเหของแสงอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงและเลนส์ความโน้มถ่วง
อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ของแรงยกตัว
ริเริ่มทฤษฎีการแกว่งตัวอย่างกระจายซึ่งอธิบายการเคลื่อนที่ของบราวน์ของโมเลกุล
ทฤษฎีโฟตอนกับความเกี่ยวพันระหว่างคลื่น-อนุภาค ซึ่งพัฒนาจากคุณสมบัติอุณหพลศาสตร์ของแสง
ทฤษฎีควอนตัมเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของอะตอมในของแข็ง
Zero-point energy
อธิบายรูปแบบย่อยของสมการของชเรอดิงเงอร์
EPR paradox
ริเริ่มโครงการทฤษฎีแรงเอกภาพ
ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 300 ชิ้น และงานอื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อีกกว่า 150 ชิ้น ปี พ.ศ. 2542 นิตยสารไทมส์ ยกย่องให้เขาเป็น "บุรุษแห่งศตวรรษ" ผู้เขียนชีวประวัติของเขาเอ่ยถึงเขาว่า "สำหรับความหมายในทางวิทยาศาสตร์ และต่อมาเป็นความหมายต่อสาธารณะ ไอน์สไตน์ มีความหมายเดียวกันกับ อัจฉริยะ"

การคิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ
ปี พ.ศ. 2488 ขณะที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่ที่สำนักงานสิทธิบัตร ก็ได้ตีพิมพ์บทความ 4 เรื่องใน Annalen der Physik ซึ่งเป็นวารสารทางฟิสิกส์ชั้นนำของเยอรมัน บทความทั้งสี่นี้ในเวลาต่อมาเรียกชื่อรวมกันว่า "Annus Mirabilis Papers"

บทความเกี่ยวกับธรรมชาติเฉพาะตัวของแสง นำไปสู่แนวคิดที่ส่งผลต่อการทดลองที่มีชื่อเสียง คือปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก หลักการง่ายๆ ก็คือ แสงมีปฏิกิริยากับสสารในรูปแบบของ "ก้อน" พลังงาน (ควอนตา) เป็นห้วงๆ แนวคิดนี้เคยนำเสนอมาก่อนหน้านี้แล้วโดย แมกซ์ พลังค์ ในปี พ.ศ. 2443 ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแสงที่เชื่อกันอยู่ในยุคสมัยนั้น
บทความเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของบราวน์ อธิบายถึงการเคลื่อนไหวแบบสุ่มของวัตถุขนาดเล็กมากๆ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของโมเลกุล แนวคิดนี้สนับสนุนต่อทฤษฎีอะตอม
บทความเกี่ยวกับอิเล็กโตรไดนามิกส์ของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ เป็นกำเนิดของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ แสดงให้เห็นว่าความเร็วของแสงที่กำลังสังเกตอย่างอิสระ ณ สภาวะการเคลื่อนที่ของผู้สังเกตจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐานไปเหมือนๆ กัน ผลสืบเนื่องจากแนวคิดนี้รวมถึงกรอบของกาล-อวกาศของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่จะช้าลงและหดสั้นลง (ตามทิศทางของการเคลื่อนที่) โดยสัมพัทธ์กับกรอบของผู้สังเกต บทความนี้ยังโต้แย้งแนวคิดเกี่ยวกับ luminiferous aether ซึ่งเป็นเสาหลักทางฟิสิกส์ทฤษฎีในยุคนั้น ว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
บทความว่าด้วยสมดุลของมวล-พลังงาน (ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อว่ามันไม่เกี่ยวข้องกันเลย) ไอน์สไตน์ปรับปรุงสมการสัมพัทธภาพพิเศษของเขาจนกลายมาเป็นสมการอันโด่งดังที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 คือ E = mc2 ซึ่งบอกว่า มวลขนาดเล็กจิ๋วสามารถแปลงไปเป็นพลังงานปริมาณมหาศาลได้ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดการพัฒนาของพลังงานนิวเคลียร์
แสง กับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
ปี พ.ศ. 2449 สำนักงานสิทธิบัตรเลื่อนขั้นให้ไอน์สไตน์เป็น Technical Examiner Second Class แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งงานด้านวิชาการ ปี พ.ศ. 2451 เขาได้เข้าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเบิร์น[16] พ.ศ. 2453 เขาเขียนบทความอธิบายถึงผลสะสมของแสงที่กระจายตัวโดยโมเลกุลเดี่ยวๆ ในบรรยากาศ ซึ่งเป็นการอธิบายว่า เหตุใดท้องฟ้าจึงเป็นสีน้ำเงิน[17]

ระหว่าง พ.ศ. 2452 ไอน์สไตน์ตีพิมพ์บทความ "Über die Entwicklung unserer Anschauungen über das Wesen und die Konstitution der Strahlung" (พัฒนาการของมุมมองเกี่ยวกับองค์ประกอบและหัวใจสำคัญของการแผ่รังสี) ว่าด้วยการพิจารณาแสงในเชิงปริมาณ ในบทความนี้ รวมถึงอีกบทความหนึ่งก่อนหน้านั้นในปีเดียวกัน ไอน์สไตน์ได้แสดงว่า พลังงานควอนตัมของมักซ์ พลังค์ จะต้องมีโมเมนตัมที่แน่นอนและแสดงตัวในลักษณะที่คล้ายคลึงกับอนุภาคที่เป็นจุด บทความนี้ได้พูดถึงแนวคิดเริ่มต้นเกี่ยวกับโฟตอน (แม้ในเวลานั้นจะยังไม่ได้เรียกด้วยคำนี้ ผู้ตั้งชื่อ 'โฟตอน' คือ กิลเบิร์ต เอ็น. ลิวอิส ในปี พ.ศ. 2469) และให้แรงบันดาลใจเกี่ยวกับความเกี่ยวพันกันระหว่างคลื่นกับอนุภาค ในวิชากลศาสตร์ควอนตัม

พ.ศ. 2454 ไอน์สไตน์ได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยซูริค แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยอมรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยชาร์ลส์-เฟอร์ดินานด์ ของเยอรมันที่ตั้งอยู่ในกรุงปราก ที่นี่ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับผลกระทบของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อแสง ซึ่งก็คือการเคลื่อนไปทางแดงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง และการหักเหของแสงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง บทความนี้ช่วยแนะแนวทางแก่นักดาราศาสตร์ในการตรวจสอบการหักเหของแสงระหว่างการเกิดสุริยคราส[18] นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน เออร์วิน ฟินเลย์-ฟรอนด์ลิค ได้เผยแพร่ข้อท้าทายของไอน์สไตน์นี้ไปยังนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก[19]

พ.ศ. 2455 ไอน์สไตน์กลับมายังสวิตเซอร์แลนด์และรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดิมที่เขาเป็นศิษย์เก่า คือ ETH เขาได้พบกับนักคณิตศาสตร์ มาร์เซล กรอสมานน์ ซึ่งช่วยให้เขารู้จักกับเรขาคณิตของรีมานน์และเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ และโดยการแนะนำของทุลลิโอ เลวี-ซิวิตา นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ไอน์สไตน์จึงได้เริ่มใช้ประโยชน์จากความแปรปรวนร่วมเข้ามาประยุกต์ในทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขา มีช่วงหนึ่งที่ไอน์สไตน์รู้สึกว่าแนวทางนี้ไม่น่าจะใช้ได้ แต่เขาก็หันกลับมาใช้อีก และในปลายปี พ.ศ. 2458 ไอน์สไตน์จึงได้เผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปซึ่งยังคงใช้อยู่ตราบถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงว่าเป็นการบิดเบี้ยวของโครงสร้างกาลอวกาศโดยวัตถุที่ส่งผลเป็นแรงเฉื่อยต่อวัตถุอื่น


รางวัลโนเบล
พ.ศ. 2465 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2464[25] ในฐานะที่ "ได้อุทิศตนแก่ฟิสิกส์ทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบกฎที่อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก" ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงงานเขียนของเขาในปี 2448 "โดยใช้มุมมองจากจิตสำนึกเกี่ยวกับการเกิดและการแปรรูปของแสง" แนวคิดของเขาได้รับการพิสูจน์อย่างหนักแน่นจากผลการทดลองมากมายในยุคนั้น สุนทรพจน์ในการมอบรางวัลยังระบุไว้ว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาเป็นหัวข้อถกเถียงที่น่าสนใจที่สุดในวงวิชาการ (และ) มีความหมายในทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์ซึ่งประยุกต์ใช้อย่างชัดเจนในปัจจุบัน"[26]

เชื่อกันมานานว่าไอน์สไตน์มอบเงินรางวัลจากโนเบลทั้งหมดให้แก่ภรรยาคนแรก คือมิเลวา มาริค สำหรับการหย่าขาดจากกันในปี พ.ศ. 2462 แต่จดหมายส่วนตัวที่เพิ่งเปิดเผยขึ้นในปี พ.ศ. 2549[27] บ่งบอกว่าเขานำไปลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา และสูญเงินไปเกือบหมดจากเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

ไอน์สไตน์เดินทางไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2464 เมื่อมีผู้ถามว่า เขาได้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มาจากไหน ไอน์สไตน์อธิบายว่า เขาเชื่อว่างานทางวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าได้จากการทดลองทางกายภาพและการค้นหาความจริงที่ซ่อนเอาไว้ โดยมีคำอธิบายที่สอดคล้องกันได้ในทุกสภาวการณ์โดยไม่ขัดแย้งกันเอง ไอน์สไตน์ยังสนับสนุนทฤษฎีที่ค้นหาผลลัพธ์ในจินตนาการด้วย

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

นักปรัชญา.....วอลแตร์



วอลแตร์ (Voltaire 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2321) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีชื่อเดิมว่า ฟรองซัวส์ มารี อรูเอต์ (François-Marie-Arouet) เกิดที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 (ค.ศ. 1694) ในตระกูลคนชั้นกลาง

ประวัติ
วอลแตร์เป็นคนมีการศึกษาดี ฉลาด มีไหวพริบ และมีความสามารถพิเศษทางวรรณศิลป์ เมื่อเขาเข้าศึกษาในโรงเรียนหลุยส์-เลอ-กรอง (Louis-le-Grand) ที่มีชื่อของพระนิกายเยซูอิต ทำให้วอลแตร์มีความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ร่วมสมัย การเมือง ตลอดจนวรรณกรรมของนักเขียนกรีกโรมัน ซึ่งมีอิทธิพลทำให้เขามีรสนิยมแบบคลาสสิก เมื่อเขาจบการศึกษาวอลแตร์ก็ทำงานเป็นทนายความ แต่ความที่เขาเป็นคนหัวแข็งและชอบขบถ จึงไม่ชอบอาชีพนี้เลย เพราะเขาคิดว่าเป็นตำแหน่งที่ ”ซื้อเอาได้” เขาอยากทำงานที่ ”ไม่ต้องซื้อหา”

วอลแตร์หันมาเขียนหนังสืออย่างจริงจังเมื่ออายุได้ 20 ปี เขาชอบเขียนหนังสือประเภทเสียดสีสังคมอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะคบหาสมาคมกับชนชั้นสูงก็ตามแต่เขาก็ไม่ละเว้นที่จะโจมตีชนชั้นนี้ และในปี พ.ศ. 2260 (ค.ศ. 1717) เขาเขียนกลอนล้อเลียนผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน (Duc d’Orléans) ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 จึงถูกส่งเข้าคุกบาสตีย์ ขณะที่อยู่ในคุกเขาเขียนบทละครโศกนาฏกรรมเรื่องแรกขึ้นชื่อ เออดิปป์ (Œdipe) ในปี พ.ศ. 2261 (ค.ศ. 1718) เพื่อต่อต้านความเชื่อทางศาสนา ต่อต้านความเชื่อเรื่องโชคเคราะห์ และชะตาลิขิต และเพื่อเน้นความสำคัญทางเสรีภาพของมนุษย์ ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อนำออกแสดงภายหลังที่เขาพ้นโทษ ก็ส่งผลให้วอลแตร์มีฐานะทัดเทียมกับกอร์เนย (Corneille) และ ราซีน (Racine) นักเขียนบทละครโศกนาฎกรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 17 และทำให้เขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างหรูหราในราชสำนัก ต่อมาเขาได้ใช้ชื่อ วอลแตร์ (Voltaire) ซึ่งเป็นชื่อที่เขาคิดขึ้นแทนชื่อเดิม

ในปี พ.ศ. 2269 (ค.ศ. 1726) วอลแตร์ถูกขังคุกอีกครั้ง เนื่องจากมีเรื่องพิพาทกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งคือ ดุ๊ค เดอ โรออง-ชาโบ (Duc de Rohan-Chabot) เมื่อออกมาจากคุกเขาถูกเนรเทศไปประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2269 - 2271) ทำให้เขาได้มีโอกาสศึกษาปรัชญาของ จอห์น ล็อก (John Locke) นักปราชญ์ชาวอังกฤษและผลงานของ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) ที่มีอิทธิพลต่องานละครและผลงานอื่นของเขาในเวลาต่อมาเป็นอย่างมาก บทละครของวอลแตร์ที่ได้รับอิทธิพลจากเช็คสเปียร์ คือ Zaïre และ Brutus เพียงปีเดียวในประเทศอังกฤษ เขาก็มีผลงานเขียนเป็นภาษาอังกฤษชื่อ Essay Upon Epic Poetry นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2271 (ค.ศ. 1728) เขาก็ได้พิมพ์มหากาพย์ชื่อ La Henriade เพื่อสดุดีพระเจ้าอองรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในฐานะกษัตริย์ที่ทรงขันติธรรมในด้านศาสนา เนื่องจากทรงเป็นผู้บัญญัติ “L’Edit de Nantes” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยให้สงครามระหว่างพวกคาธอลิกและโปรแตสแตนท์ยุติลงได้ ซึ่งมหากาพย์นี้ไม่สามารถตีพิมพ์ในประเทศ ฝรั่งเศสเนื่องจากไม่เป็นที่พอใจของราชสำนัก รัฐสภาและพระสันตะปาปา

นอกจากนี้ วอลแตร์ยังนิยมความคิดของนิวตัน (Newton) นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษเป็นอย่างมาก เขาแปลงานของนิวตัน และยังเขียนหนังสือว่าด้วยทฤษฎีของนักวิทยา-ศาสตร์ผู้นี้อีกหลายเล่ม วอลแตร์เห็นว่าแนวความคิดของนิวตันก่อให้เกิดการปฏิวัติในภูมิปัญญาของมนุษย์ เพราะนิวตันเชื่อว่าความจริงย่อมได้จากประสบการณ์และการทดลอง เขาไม่ยอมรับสมมติฐานใด ๆ โดยอาศัยสูตรสำเร็จโดยวิธีของคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียว

เมื่อกลับประเทศฝรั่งเศสวอลแตร์ก็เขียนบทความโจมตีศาสนา เมื่อบาทหลวงปฏิเสธไม่ยอมทำพิธีให้กับนักแสดงละครหญิง ซึ่งรับบทแสดงเป็นราชินีโจคาสต์ ในละครเรื่อง Œdipe นับตั้งแต่นั้นมาวอลแตร์จึงโจมตีเรื่องอคติ และการขาดขันติธรรมของศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิกอยู่เสมอ แม้จะถูกตักเตือนและถูกข่มขู่จากผู้มีอำนาจเซ็นเซ่อร์งานเขียนของเขา แต่วอลแตร์ก็ไม่เคยเกรงกลัว นอกจากนี้เขายังเปิดโปงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง

เขาเกือบถูกจับอีกครั้งเมื่อพิมพ์หนังสือชื่อ จดหมายปรัชญา (Les Lettres philosophiques ou Lettres anglaises) ออกมาในปี พ.ศ. 2277 (ค.ศ. 1734) จดหมายปรัชญา มีทั้งความคิด เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เขียนด้วยโวหารที่คมคาย พร้อมด้วยการเสียดสีที่ถากถาง วอลแตร์วิพากษ์วิจารณ์ทั้งศาสนา การเมือง วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และจบลงด้วยการวิจารณ์แบลส ปาสกาล (Blaise Pascal) นักคิดคนสำคัญทางด้านศาสนาในศตวรรษที่ 17 ผลงานชิ้นนี้ทำให้วอลแตร์กลายเป็นนักปราชญ์ที่ไม่เคยทำให้ผู้อื่นเบื่อ เป็นงานที่ลีลาการเขียนเฉพาะตัวของเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน และด้วยหนังสือเล่มนี้ทำให้เขาต้องหนีไปอยู่ที่วังซิเรย์ (Cirey) ของ มาดาม ดู ชาเตอเล่ท์ (Madame du Châtelet) ในแคว้นลอแรนน์ หล่อนเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์และทรงความรู้ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันยาวนานถึง 17 ปี วอลแตร์รักหล่อนมาก นับว่าหล่อนเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญอีกคนหนึ่ง

ตลอดเวลาที่พักอยู่วังซิเรย์ วอลแตร์จะเขียนหนังสืออยู่ไม่หยุด และจะสนใจศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์ด้วย เขามีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศปรัสเซีย ซึ่งเขาได้กลายเป็นคนโปรดของพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งประเทศปรัสเซีย (Frederic II roi de Prusse) ในปี พ.ศ. 2288 (ค.ศ. 1745) วอลแตร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักประวัติศาสตร์แห่งชาติ และปีต่อมาก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกราชบัณฑิตยสถานของฝรั่งเศส (l’Académie française) และยังได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางอีกด้วย จากการที่วอลแตร์เป็นคนที่มีความสามารถ เขาจึงได้กลายเป็นที่โปรดปรานของ มาดาม เดอ ปอมปาดูร์ (Madame de Pompadour) พระสนมเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แต่อย่างไรก็ตามชีวิตของเขาก็เริ่มตกอับ กล่าวคือเขาเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตในราชสำนัก ที่มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ การแก่งแย่งชิงดี ประจบสอพลอ อีกทั้งมาดาม ดู ปอมปาดูร์ ก็หันไปโปรดกวีคนใหม่คือ Crébillon และยิ่งร้ายไปกว่านั้นในปี พ.ศ. 2292 (ค.ศ. 1749) มาดาม ดู ชาเตอเล่ย์ ก็ได้เสียชีวิตลง วอลแตร์จึงรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างมาก ชะตาชีวิตระหว่างปี พ.ศ. 2286 - 2290 นี้ นับเป็นแรงบันดาลใจให้เขาแต่งนวนิยายเชิงปรัชญาที่สำคัญ คือ ซาดิก (Zadig ou La Destineé) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2291 (ค.ศ. 1748)

นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ. 1750) เขาได้รับเชิญจากพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ให้ไปอยู่ในราชสำนัก ระหว่างที่พักอยู่ที่ราชสำนักเบอร์ลินเขาได้ตีพิมพ์ผลงานที่สำคัญสองเรื่อง คือ ศตวรรษพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Le Siècle de Louis XIV) และนิทานปรัชญาเรื่อง มิโครเมกาส (Micromégas) ต่อมาไม่นานวอลแตร์กลับได้พบความผิดหวังในตัวพระองค์อย่างรุนแรง เพราะพระองค์ทรงเห็นวรรณคดีและปรัชญาเป็นเพียงเครื่องเล่นประเทืองอารมณ์เท่านั้น อีกทั้งพระองค์ทรงเล่นการเมืองด้วยความสับปรับ และเมื่อมีปัญหากับพระเจ้า-เฟรเดอริคที่ 2 วอลแตร์ก็ได้ไปตั้งรกรากอยู่ในกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่คฤหาสน์ เล เดลิซ (Les Délices) และอยู่ที่นั่นกับหลานสาวชื่อมาดามเดอนีส์ (Madame Denis) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันมาได้สิบปีแล้ว ในปี พ.ศ. 2300 วอลแตร์ซื้อคฤหาสน์ใหม่ที่แฟร์เนย์ (Ferney) ในประเทศฝรั่งเศสติดชายแดนสวิสเซอร์แลนด์ และเขาได้เริ่มเขียนนิทานปรัชญาเรื่อง ก็องดิดด์ หรือ สุทรรศนิยม (Candide ou L’optimisme) ในปีต่อมา ซึ่งถือกันว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเขาอีกเรื่องหนึ่งเลยที่เดียว ผลงานชิ้นนี้ได้ยืนยันความเป็นปราชญ์ของวอลแตร์ ผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความคิดวิพากษ์ วิจารณ์ในศตวรรษที่18 ได้เป็นอย่างดี

ระหว่างในปี พ.ศ. 2305 – 2308 วอลแตร์ได้ช่วยเหลือครอบครัวกาลาส (Calas) โดยการเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ ฌอง กาลาส ผู้เป็นบิดาซึ่งถูกตัดสินลงโทษจนเสียชีวิต จากข้อกล่าวหาว่าฆ่าลูกชายที่ประสงค์จะเปลี่ยนไปนับถือนิกายคาทอลิก เขาจึงได้เขียน บทความว่าด้วยขันติธรรม (Traité sur la tolérance)

ในปี พ.ศ. 2306 ซึ่งพูดถึงการยอมรับศาสนาที่แตกต่างกันออกไปเพื่อช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัวกาลาส เหตุที่เขาเข้าไปช่วยเพราะเขาเห็นว่าไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการลงโทษประหารชีวิต ผู้บริสุทธิ์ และคำตัดสินใหม่ก็ทำให้ตระกูลกาลาสพ้นผิด ภรรยาและบุตรธิดาของฌอง กาลาสก็ได้รับทรัพย์สมบัติของตระกูลคืน จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้วอลแตร์เปรียบเสมือนวีรบุรุษแห่งตำนาน เป็นประทีปแห่งปัญญาที่ไม่เคยมีปัญญาชนคนใดเคยทำมาก่อน

ช่วงนี้วอลแตร์ก็ยังมีผลงานคือ ปทานุกรมปรัชญา หรือ Le Dictionnaire Philosophique ในปี พ.ศ. 2307 (ค.ศ. 1764) อีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะมีความขัดแย้งกับผู้คนจำนวนมาก เพราะความกล้าที่จะเสียดสีสังคมของเขา แต่ในตอนบั้นปลายชีวิตของวอลแตร์ เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างทรงเกียรติ เมื่อเดินทางกลับมายังกรุง ปารีส ซึ่งโรงละครกอมเมดี ฟรองแซส (La Comédie Française) จัดแสดงละครโศกนาฏกรรมเรื่องสุดท้ายที่วอลแตร์แต่งคือ อิแรนน์ (Irène) เพื่อฉลองการกลับมาถึงกรุงปารีสของเขา โดยที่ช่วงก่อนการแสดง ช่วงสิ้นสุดแต่ละองค์ และช่วงจบการแสดง นักแสดงได้นำรูปปั้นครึ่งตัวของวอลแตร์ขึ้นบนเวที ฝูงชนก็ตบมือและส่งเสียงเรียกชื่อของเขาดังกึกก้อง

ศตวรรษต่อมาวิคตอร์ ฮูโก (Victor Hugo) กล่าวว่า "วอลแตร์ คือ 1789" เพราะความคิดของ วอลแตร์มีอิทธิพลต่อประชาชนผู้ลุกฮือขึ้นมาทำการปฏิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2332 จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อวอลแตร์เสียชีวิตไปในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2321 (ค.ศ. 1778) ขณะที่มีอายุได้ 84 ปีนั้น ทางศาสนาไม่อยากทำพิธีศพให้ แต่เมื่อประชาชนทำการปฏิวัติได้สำเร็จ ก็ได้นำอัฐิของเขาไปยังวิหารปองเตอง (Le Panthéon) ในปี 1791 ในฐานะผู้ที่ประกอบคุณอนันต์ให้แก่ประเทศฝรั่งเศส

ผลงานของวอลแตร์
ผลงานของวอลแตร์มีจำนวนมากมาย หลากหลายประเภททั้งบทละคร นิยาย นิทานเชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ และบทกวี เขาได้รับยกย่องจากคนร่วมสมัยว่าเป็นนักเขียนบทละครชั้นนำและกวีชั้นนำ แต่ในปัจจุบันเขากลับเป็นที่ยกย่องในฐานะนักเขียนเชิงเสียดสี วิพากษ์วิจารณ์ (Le symbole de l’esprit critique) ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ความคิดทางปรัชญาไปสู่สาธารณชน เพื่อปลุกความคิดวิพากษ์วิจารณ์ให้แก่ชาวฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านความคิดระบบสถาบันแบบเก่า การต่อสู้เพื่อขจัดความ อยุติธรรมในสังคม รวมทั้งความเชื่อที่งมงายและความบ้าคลั่งทางศาสนา นอกจากนี้เขายังส่งเสริมเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพและการแสดงความคิดเห็นอีกด้วย

อิทธิพลของวอลแตร์
ผลงานตลอดชีวิตของวอลแตร์ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความคิดวิพากวิจารณ์” (L‘esprit critique) แก่ชาวฝรั่งเศสโดยรวม ความคิดวิพากวิจารณ์นี้ทำให้ชาวฝรั่งเศสตั้งคำถามต่อทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ที่ปรากฏในสังคมของตน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสถาบันการเมืองการปกครอง โดยเขาได้โจมตีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สถาบันกษัตริย์ การใช้อำนาจตามอำเภอใจของกษัตริย์ สถาบันศาสนา โจมตีคำสอนความเชื่อที่งมงาย เป็นต้น

วอลแตร์ได้นำหลักการใช้เหตุผล (L’esprit scientifique) มาแพร่หลายให้แก่ประชาชน เพื่อมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยการใช้เหตุผลแก้ปัญหา และรู้จักคิดพิจารณาก่อนจะเชื่ออะไรง่าย ๆ เขาใช้ผลงานของเขามาเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวความคิดทางปรัชญาและนำไปสู่สาธารณชน เพื่อทำให้ประชาชนได้เห็นได้เข้าใจและตระหนักถึงสิ่งเหล่านั้น ซึ่งแนวคิดและความรู้เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกับแสงสว่างทางปัญญาให้แก่ประชาชน วอลแตร์จึงเป็นผู้ที่มีส่วนทำให้ประชาชนมีเสรีภาพทางความคิดและทำให้ผู้คนสนใจการเมืองการปกครองแบบอังกฤษ

ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าวอลแตร์มีอิทธิพลต่อคริสตวรรษที่ 18 เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและศาสนา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “การปฏิวัติฝรั่งเศส พ.ศ. 2332”

นักปรัชญา.....ฌอง-ฌาค รุสโซ



ฌอง-ฌาค รุสโซ (Jean Jaques Rousseau) (28 มิถุนายน พ.ศ. 2255 - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2321) เป็นนักปรัชญา, นักเขียน, นักทฤษฎีการเมือง, และนักประพันธ์เพลงที่ฝึกหัดด้วยตนเอง แห่งยุคแสงสว่าง

ปรัชญาของรุสโซ
คำสอนของเขาสอนให้คนหันกลับไปหาธรรมชาติ { back to nature } เป็นการยกย่องคุณค่าของคนว่า "ธรรมชาติของคนดีอยู่แล้วแต่สังคมทำให้คนไม่เสมอภาคกัน" เขาบอกว่า "เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่คำตอบของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของเราเอง ให้มากกว่าเหตุผล"

ทฤษฎี 'คนเถื่อนใจธรรม'
รุสโซเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นคนดีโดยธรรมชาติ หรือเป็น "คนเถื่อนใจธรรม" (nobel savage) เมื่ออยู่ในสภาวะธรรมชาติ (สภาวะเดียวกันกับสัตว์อื่นๆ และเป็นสภาพที่มนุษย์อยู่มาก่อนที่จะมีการสร้างอารยธรรม และสังคม) แต่ถูกทำให้แปดเปื้อนโดยสังคม เขามองสังคมว่าเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น และเชื่อว่าการพัฒนาของสังคม โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการพึ่งพากันในสังคมนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์

ความเรียงชื่อ "การบรรยายเกี่ยวกับศิลปะและวิทยาศาสตร์" (พ.ศ. 2293) ที่ได้รับรางวัลของเมือง ได้อธิบายว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์นั้น ไม่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ เขาได้เสนอว่าพัฒนาการของความรู้ทำให้รัฐบาลมีอำนาจมากขึ้น และทำลายเสรีภาพของปัจเจกชน เขาสรุปว่าพัฒนาการเชิงวัตถุนั้น จะทำลายโอกาสของความเป็นเพื่อนที่จริงใจ โดยจะทำให้เกิดความอิจฉา ความกลัว และ ความระแวงสงสัย

งานชิ้นถัดมาของเขา การบรรยายว่าด้วยความไม่เสมอภาค ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาและการทำลายของมนุษย์ ตั้งแต่ในสมัยโบราณ จนถึงสมัยใหม่ เขาเสนอว่ามนุษย์ในยุคแรกสุดนั้น เป็นมนุษย์ครึ่งลิงและอยู่แยกกัน มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เนื่องจากมีความต้องการอย่างอิสระ (free will) และเป็นสิ่งที่สามารถแสวงหาความสมบูรณ์แบบได้ เขายังได้กล่าวว่ามนุษย์ยุคบุคเบิกนี้มีความต้องการพื้นฐาน ที่จะดูแลรักษาตนเอง และมีความรู้สึกห่วงหาอาทรหรือความสงสาร เมื่อมนุษย์ถูกบังคับให้ต้องมีความสัมพันธ์กันมากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร จึงได้เกิดการปรับเปลี่ยนทางด้านจิตวิทยา และได้เริ่มให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่น ๆ ว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อกาีรมีชีวิตที่ดีของตนเอง รุสโซได้เรียกความรู้สึกใหม่นี้ ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิบานของมนุษย์

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไวน์










ไวน์ (อังกฤษ: wine; ฝรั่งเศส: vin) คือ เมรัยอันผลิตจากน้ำองุ่น[ต้องการอ้างอิง] แต่ก็อาจใช้กับเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำผลไม้อื่นเช่นกัน

ไวน์ เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเกิดจากการหมักน้ำตาลในองุ่น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ไวน์ขาว (White wine) หรือ (vin blanc) และ ไวน์แดง (Red wine) หรือ (vin rouge) ไวน์ที่ได้จากการผสมระหว่างไวน์ 2 ชนิดเรียกว่า ไวน์สีชมพู (Rosé หรือว่า Pink wine) [ rosé แปลว่าสีชมพู ถ้าใช้กับ wine เรียกว่า rosé ไปเลยไม่ต้องเรียก vin rosé] ส่วนไวน์ที่มีการอัดก๊าซลงไป จะเรียกว่า สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine) สปาร์กลิงไวน์ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ แชมเปญ (Champagne)

ประวัติ

ภาพวาดเกี่ยวกับไวน์ Tacuina sanitatis คริสต์ศตวรรษ 14เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีมาหลายร้อยปีแล้ว มีการค้นพบโถโบราณบรรจุเมล็ดองุ่นไร่ซึ่งมีอายุนับเนื่องขึ้นไปกว่า 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล

นอกจากที่ประเทศอิหร่านแล้ว ยังมีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้จากกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ในสมัย 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของประเทศจีน

ในยุคอียิปต์โบราณ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบมาก เทพต่าง ๆ ในตำนานเทพปกรณัม ทั้งโอซิริสของอียิปต์ เทพไดโอนีซุสของกรีก บัคคัสของโรมัน หรือกิลกาเมชของบาบิโลน ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งไวน์ นอกจากนั้น ไวน์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวน์มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากในช่วงสองร้อยปีหลัง ชาวโรมันในสมัยก่อนนั้นดื่มไวน์ที่มีรสฉุนจนต้องผสมน้ำทะเลก่อนดื่ม รสชาติของไวน์ดังกล่าวแตกต่างจากไวน์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

ในสมัยศตวรรษที่ 19 ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยคนงานที่รับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลจะดื่มไวน์ถึงวันละ 6-8 ลิตร และนายจ้างจะจ่ายไวน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าแรง เพราะสมัยนั้นน้ำยังไม่ค่อยสะอาดพอที่จะนำมาดื่มได้

ส่วนประกอบของไวน์
ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของไวน์คือแอลกอฮอล์ที่ละลายในน้ำ และส่วนผสมทางเคมีอื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นสารระเหยและสารไม่ระเหย ทั้งสารละลายและสารแขวนลอย ปกติแล้ว ปริมาณของแอลกอฮอล์จะอยู่ระหว่าง 9-15 เปอร์เซ็นต์ต่อปริมาณน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์

แอลกอฮอล์ในไวน์ส่วนใหญ่เป็นเอทิลแอลกอฮอล์ และยังพบตัวทำละลายประเภทกลีเซอรอล ซอร์บิทอล และบูตีแลนกลีคอลด้วย

นอกจากนั้น ไวน์ยังประกอบด้วย

น้ำตาลชนิดต่าง ๆ ทั้งกลูโคส ฟรุคโตส ในปริมาณที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1-2 กรัมต่อลิตร ในดรายไวน์ที่หมักจนน้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์แล้ว จนถึง 50-60 กรัมต่อลิตร ในไวน์หวานที่กระบวนการหมักบ่มยังไม่สมบูรณ์
กรดต่าง ๆ ทั้งกรดมาลิก กรดซิตตริก กรดทาทาริก กรดอะซีติก กรดแลกติก กรดซัคซินิก
ส่วนผสมอื่น ๆ เช่น แทนนิน แอนโทซีอัน
รงควัตถุ (pigment) ต่างๆ เช่น แอนโทไซยานิน

พื้นที่
คำว่า "กรู" (ฝรั่งเศส: cru) หมายถึงไวน์เฉพาะถิ่นที่ผลิตในพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ โดยพื้นที่แต่ละแห่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม สภาพพื้นดิน สภาพอากาศ ซึ่งทำให้องุ่นที่ปลูกในพื้นที่นั้นๆ ให้รสชาติและลักษณะไวน์ที่เป็นลักษณะเฉพาะและเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ไวน์ของผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ (ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ชิลี แคลิฟอร์เนีย - สหรัฐอเมริกา) สร้างความหลากหลายให้กับรสชาติไวน์ตามลักษณะของพื้นที่ผลิต (แสงแดด ความชื้น คุณภาพดิน)

ในฝรั่งเศส พื้นที่ผลิตมักจะสัมพันธุ์กับพันธุ์องุ่น โดยในพื้นที่หนึ่ง ๆ อาจจะปลูกองุ่นเพียงพันธุ์เดียว หรือหลายพันธุ์เป็นการเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ไวน์มาดีรอง (ฝรั่งเศส: madiran) จากแถบเทือกเขาพีเรนีส จะทำจากองุ่นพันธุ์ตานา (ฝรั่งเศส: tannat) เท่านั้น

ผู้ผลิตจะตั้งชื่อไวน์ตามชื่อพื้นที่สำหรับไวน์บูร์กอญ (ฝรั่งเศส: Bourgogne) หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่าเบอร์กันดี (อังกฤษ: Burgundy) ส่วนไวน์บอร์โด (ฝรั่งเศส: Bordeaux) ตั้งตามชื่อปราสาท (ฝรั่งเศส: châteaux - ชาโต)

ปีที่ผลิต (ฝรั่งเศส: Millésime / อังกฤษ: Vintage)
ปีที่ผลิต คือ ปีที่มีการเก็บองุ่นซึ่งนำมาใช้ทำไวน์นั้น ๆ เป็นตัวบ่งบอกถึงลักษณะอากาศในปีต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของคุณภาพไวน์ โดยปกติผู้ผลิตจะเขียนชื่อปีที่ผลิตไว้บนฉลาก กฎหมายของสหภาพยุโรปไม่ได้กำหนดให้แจ้งปีที่เก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้ทำไวน์แต่อย่างใด

ชนิดของไวน์

ไวน์แดง
ตัวอย่างไวน์แดงที่ได้รับความนิยม

-บาโรโล (Barolo) - อิตาลี
-บรูเนลโลดีมอนตัลชีโน (Brunello di Montalcino) - อิตาลี
-โบโชเล (Beaujolais) - ฝรั่งเศส
-บอร์โด (Bordeaux) - ฝรั่งเศส
-บูร์กอญ (Bourgogne) หรือบูร์กันดี (Burgundy) - ฝรั่งเศส
-กาแบร์เนโซวีญง (Cabernet Sauvignon) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออสเตรเลีย มอลโดวา แอฟริกาใต้
-การ์เมเนเร (Carmenere) - ชิลี
-กีอันตี (Chianti) - อิตาลี
-แมร์โล (Merlot) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน ชิลี แอฟริกาใต้
-ปีโนนัวร์ (Pinot Noir) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออริกอน แอฟริกาใต้
-พิโนเทจ (Pinotage) - แอฟริกาใต้
-เรียวคา (Rioja) - สเปน
-ซีรา/ชีรัซ (Syrah/Shiraz) - ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย แคลิฟอร์เนีย แอฟริกาใต้
-วัลโปลีเชลลา (Valpolicella) - อิตาลี
-ซินฟันเดล (Zinfandel) - แคลิฟอร์เนีย

ไวน์ขาว (White wine)

ผลิตจากองุ่นขาวหรือองุ่นแดงแต่เอาเฉพาะน้ำองุ่น แบ่งออกเป็นหลายชนิด
..ไวน์ขาวอ่อน (Vin Blanc Tranquille or Doux)
..ไวน์ขาวแห้ง (Vin Blanc Sec or Demi-sec)
..ไวน์ขาวหวาน (VDN, Porto, Xeres)
..ไวน์ขาวอัดก๊าซ (Champagne, Vouvrey)
..ลิเกอร์จากองุ่นขาว (Cognac, Armagnac, Pineau)

ตัวอย่างไวน์ขาวที่ได้รับความนิยม

-ชาร์ดอเน (Chardonnay) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้
-ชาบลี (Chablis) - ฝรั่งเศส
-เชอแนงบล็อง (Chenin Blanc) - แอฟริกาใต้ ฝรั่งเศส
-ฟรัสกาตี (Frascati) - อิตาลี
-เกเวือร์ซทรามีเนอร์ (Gewürztraminer) - ฝรั่งเศส เยอรมนี แอฟริกาใต้
-ลีบเฟรามิลค์ (Liebfraumilch) - เยอรมนี
-ออร์วีเอโต (Orvieto) - อิตาลี
-ปีโนกรี/ปีนอตกรีโจ (Pinot Gris/Pinot Grigio) - ฝรั่งเศส อิตาลี ออริกอน
-ปุยยี-ฟุยเซ (Pouilly-Fuissé) - ฝรั่งเศส
-รีสลิง (Riesling) – ฝรั่งเศส เยอรมนี
-โซวีญงบล็อง (Sauvignon Blanc) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้
-เซมียง (Sémillon) - แอฟริกาใต้
-โซอาเว (Soave) - อิตาลี
-แวร์ดิกกีโอเดย์กัสเตลลีดีเจซี (Verdicchio dei castelli di Jesi) - อิตาลี
-สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine)
เป็นไวน์ชนิดมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อัดอยู่

ตัวอย่างสปาร์กลิงไวน์ที่ได้รับความนิยม

-อัสตีสปูมันเต (Asti spumante) - อิตาลี
-กาบา (Cava) - สเปน
-แชมเปญ/ชองปาญ (Champagne) - ฝรั่งเศส สปาร์กลิงไวน์ที่ผลิตขึ้นที่แคว้นนี้เท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อว่า แชมเปญ
-ฟรันชากอร์ตา (Franciacorta) - อิตาลี
-โปรเซกโก (Prosecco) - อิตาลี
-เซคท์ (Sekt) - เยอรมัน
-สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine) – แคลิฟอร์เนีย ออริกอน วอชิงตัน นิวเม็กซิโก
ไวน์สีกุหลาบ (rosé)

-บูซุยโออาตซะเดโบโฮติน (Busuioacă de Bohotin) : โรมาเนีย
-ลาเกรนโรซาโต (Lagrein Rosato) : อิตาลี
-โรเซ (Rosé) : ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส โปรตุเกส แอฟริกาใต้ สเปน สหรัฐอเมริกา

Mona Lisa



โมนาลิซา (อังกฤษ: Mona Lisa) หรือ ลาโชกงด์ (ฝรั่งเศส: La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507) เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส


ที่มาของชื่อ
คำว่า'โมนาลิซา" นั้น ได้ถูกตั้งขึ้นโดย จอร์โจ วาซารี (Giorgio Vasari) ศิลปิน และนักชีวประวัติชาวอิตาลี หลังจากดา วินชีได้เสียชีวิตไป 31 ปี ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์นั้นได้บอกไว้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรูปนั้นคือ ลีซา เกอราร์ดีนี ภรรยาของขุนนางนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ชาวเมืองฟลอเรนซ์นามว่า ฟรานเชสโก เดล โจกอนโด (Francesco del Giocondo)

คำว่า โมนา" (Mona) ในภาษาอิตาลีนั้นก็คือคำว่า มาดอนนา (madonna) คุณผู้หญิง (my lady) หรือ มาดาม (Madam) ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นความหมายของชื่อนั้นก็คือ "มาดาม ลิซา" แต่ในปัจจุบัน บางครั้งก็จะใช้คำว่า มอนนา ลิซา (Monna Lisa)

ประวัติ
ภาพโมนาลิซ่านี้ถูกวาดโดย ดา วินชี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2046 ถึง พ.ศ. 2050 ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการวาด

ในปี ค.ศ. 1516 (พ.ศ. 2059) ดา วินชีได้นำภาพจากอิตาลีไปที่ฝรั่งเศส ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ที่ทรงปรารถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Lucé ใกล้กับปราสาทในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซ่า ในราคา 4,000 เอกือ

ในปี ค.ศ. 1519 (พ.ศ. 2062) ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 63 ปี


ใบหน้าของมาดามลิซ่าตอนนที่ ดา วินชี เสียชีวิตแล้วได้ยกสมบัติและภาพวาดทั้งหมดให้เป็นมรดกของผู้ติดตามของเขา ฟรานเซสโก เมลซิ (Francesco melci) และเมื่อฟรานเซสโก เมลซิ เสียชีวิตลงก็ไม่ได้ยกมรดกให้ใคร มรดกก็เริ่มกระจัดกระจาย

และต่อมาภาพโมนาลิซ่าถูกนำไปเก็บไว้ที่ พระราชวังฟงเตนโบล ต่อมาก็ในพระราชวังแวร์ซาย หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ถูกไปนำเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในห้องสรงของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ในพระราชวังตุยเลอรี แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม


ห้องแสดงในพิพิธภัณฑ์ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ระหว่างปี พ.ศ. 2413 - 2414 ภาพได้ถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ ไปซ่อนไว้ในที่ลับในประเทศฝรั่งเศส

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) ภาพโมนาลิซ่าถูกโจรกรรมออกจากพิพิธภัณฑ์ ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอก็ได้ใช้เวลาไปถึง 2 ปี ซึ่งได้พบในเมืองฟรอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ปัจจุบันเธอถูกดูแลรักษาอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศกันกระสุน พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ อันเป็นเครื่องหมายสากลว่า โมนา ลิซา จะไม่มีวันที่จะได้เคลื่อนย้ายไปแสดงที่ไหนอีกเป็นเด็ดขาด

ทฤษฎีสมทบ
กล่าวกันว่าภาพวาดนี้ ดา วินซี ตั้งใจจะวาดภาพของตนเองเพื่อเป็นหญิง และภาพวาดชิ้นนี้เมื่อส่องกับกระจกเงา จะพบว่ามุมการมองภาพรู้สึกเป็นธรรมชาติไม่แตกต่างจากการมองแบบปกติ เหมือนที่ ดา วินชี กล่าวไว้ว่า "ภาพเขียนที่จิตรกรจะคิดว่าสวยงามในทุกๆด้านและทุกๆมุมมอง ต้องพิจารณาภาพภาพในกระจกเงา" และจากการฉายรังสีที่ภาพวาด ทำให้พบว่าภาพเขียนนี้ถูกซ่อนเจตนาที่แท้จริงหลายอย่าง และยังเคยถูกเขียนทับอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แฝดสยาม อิน-จัน


อิน-จัน เป็นชื่อของฝาแฝดสยาม ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยเป็นที่มาของคำว่า "แฝดสยาม" ฝาแฝดอิน-จัน เป็นฝาแฝดที่มีตัวติดกันทางส่วนหน้าอก (โดยบันทึกของชาวตะวันตกบอกว่า เนื้อที่เชื่อมกันระหว่างอกนี้สามารถยืดได้จนทั้งคู่สามารถหันหลังชนกันได้) เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2354 ตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 2 ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ที่จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีบิดาเป็นชาวจีนอพยพแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 ชื่อ นายที มารดาเป็นคนไทยชื่อ นางนาก (บันทึกของชาวตะวันตกเรียกว่า นก (Nok)) ซึ่งฝาแฝดคู่นี้สามารถเติบโตและใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ แตกต่างไปจากแฝดติดกันคู่อื่น ๆ ที่มักเสียชีวิตหลังคลอดได้ไม่นาน ตามกฎหมายในเวลานั้น ทั้งคู่ต้องถูกประหารชีวิตเนื่องจากความเชื่อที่ว่าเป็นตัวกาลกิณี แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็หาได้มีเหตุการณ์ใด ๆ ตามความเชื่อไม่ โทษนั้นจึงได้รับการยกเลิก

เมื่อทั้งคู่อายุได้แค่ 2 ขวบ บิดาก็เสียชีวิตลงด้วยอหิวาตกโรค ภาระจึงตกอยู่ที่มารดาแต่เพียงผู้เดียว แฝดทั้งคู่จึงช่วยเหลือมารดาเท่าที่เด็กในวัยเดียวกันจะทำได้ เช่น จับปลา ขายน้ำมันมะพร้าว และทำไข่เค็มขาย จนในปี พ.ศ. 2367 ความพิเศษของเด็กทั้งคู่ทราบไปถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นางนากและอิน-จันเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วในปี พ.ศ. 2370 ก็มีพระบรมราชานุญาตให้อิน-จันได้เดินทางร่วมไปกับคณะทูตเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศโคชินไชน่า (เวียดนามในปัจจุบัน)

ในปี พ.ศ. 2367 นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษ หรือที่คนไทยสมัยนั้นเรียกว่า "นายหันแตร" ได้นั่งเรือผ่านแม่น้ำแม่กลอง และได้พบแฝดคู่นี้กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ ด้วยความประหลาดและน่าสนใจ นายฮันเตอร์จึงคิดที่จะนำฝาแฝดคู่นี้ไปแสดงโชว์ตัวที่สหรัฐอเมริกา จึงเข้าทำความสนิทสนมกับครอบครัวของฝาแฝดอยู่นานนับปี จนพ่อแม่ของทั้งคู่ไว้วางใจ ในที่สุดนายอาเบล คอฟฟิน กัปตันเรือสินค้า เดอะ ชาเคม (The Sachem) ซึ่งขณะนั้นได้เข้ามาทำการค้าในประเทศไทย ก็เป็นผู้นำตัวคู่แฝดออกเดินทางจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2372 ขณะนั้นอิน-จัน อายุได้ 18 ปี โดยใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 138 วัน จึงถึงเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และที่นี่เองที่คู่แฝดได้ทำการเปิดตัว ก่อนจะออกเดินทางแสดงทั่วอเมริกาและยุโรปอีกร่วม 10 ปี (เอกสารบางฉบับบอกว่า ไม่ได้เริ่มที่บอสตัน แต่ไปตั้งหลักที่รัฐแคลิฟอร์เนีย) โดยสัญญาที่ทำไว้กับนายฮันเตอร์และนายคอฟฟินสิ้นสุดลงเมื่อทั้งคู่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ โดยในช่วง 2 ปีแรก ทั้งคู่ก็ได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทน แต่ก็มีบางครั้งก็ถูกเอาเปรียบด้วย เมื่อเป็นอิสระทั้งคู่ก็เปิดการแสดงเอง และได้แสดงไปทั่วสหรัฐอเมริกา

จนเมื่ออายุได้ 28 ปี ใน พ.ศ. 2382 ทั้งคู่ก็ได้ลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านแทรปฮิลล์ (Traphill) เขตชานเมืองวิลส์โบโร (Wilkesboro) เคาน์ตีวิลส์ ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน โดยมีชื่อว่า เอ็ง-ชาง บังเกอร์ (Eng and Chang Bunker) พร้อมกับได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกัน และมีลูกด้วยกันหลายคน ซึ่งระหว่างที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตในต่างประเทศนั้น มีความพยายามหลายครั้งจากหลายบุคคลที่จะทำการผ่าตัดแยกร่างทั้งคู่ออกจากกัน แต่ท้ายที่สุดก็มิได้มีการดำเนินการจริง ๆ

จากบันทึกที่ได้บันทึกไว้ ระบุว่า จัน (คนน้อง) เป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน หุนหันพลันแล่น และชอบดื่มสุราจนเมามาย ขณะที่ อิน (ผู้พี่) กลับมีนิสัยตรงกันข้าม คือ ใจเย็น สุขุมกว่า และไม่ทานเหล้า อีกทั้งทั้งคู่เคยทะเลาะวิวาทจนถึงขั้นชกต่อยกันเองมาแล้วด้วย

จากการที่จันผู้น้องนิยมดื่มเหล้าจนเมามายบ่อย ๆ ทำให้เป็นโรคหลายโรค จนในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2417 จันก็เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวาย จากนั้นอีกราว 2 ชั่วโมงถัดมา อินก็ได้เสียชีวิตตามไปด้วย ซึ่งจากการชันสูตรและลงความเห็นของแพทย์สมัยใหม่ ระบุว่า อินต้องสูญเสียเม็ดเลือดแดงให้แก่จันที่เสียชีวิตไปแล้ว ผ่านทางเนื้อที่เชื่อมกันที่อก ทั้งคู่เสียชีวิตขณะที่มีอายุได้ 63 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Fondue



**....Fondue isch guet und git e gueti Luune....**

**ฟองดือ อิชชฺ ก๊วต อูนดฺ กิท เอะ ก๊วตติ ลูนเน่ะ***
คำข้างบนเป็นคำพูดของคนสวิส ซึ่งเป็นภาษาสวิสเยอรมัน ซึ่งกล่าวถึงFONDUEว่า...FONDUEกินอร่อยและทำให้อารมณ์ดี ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องจริงๆ. เพราะเรากินฟองดูกันอย่างมีความสุข
คุยหัวเราะหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ภายใต้แสงเทียนที่จุดตั้งบนโต๊ะ..และฟังเพลงลูกทุ่งสวิส...
**FONDUE ** ถ้าเอ่ยและถามถึงประเทศสวิตฯ ทุกๆคนจะนึกถึง..นาฬิกา..มีดพกสวิส... ความสวยงามของธรรมชาติและ เนยขูดที่นำมาละลาย และจิ้มด้วยขนมปังขาว..ที่ทุกคนขนานนามว่า Fondue
Fondue เนยขูดจัดว่าเป็นอาหารเก่าแก่ประจำชาติสวิส และจะกินกันมากเมื่ออากาศเริมหนาวเย็น
แสงเทียนและไฟที่จุดเผาฟองดูทำให้เราเกิดความอบอุ่น และเกิดความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น...ยิ่งหิมะตก ละอองหิมะที่โปรยปรายข้างนอก ทำให้การกินฟองดูอร่อยมากขึ้น และอารมณ์โรแมนติคสุดๆยิ่งมีเตาผิง ที่จุดอยู่ข้างๆยิ่งทำให้เกิดภาพที่สวยงามจริงๆ ** FONDUE ** Fondue มาจากภาษาฝรั่งเศสFondre ซึ่งหมายถึงschmelzen.ในภาษาเยอรมัน ซึ่งแปลว่าทำละลาย..ใน caquelon ซึ่งเป็นหม้อดินเคลือบที่ทำพิเศษ
สำหรับใส่เนยขูดตั้งอยู่บนความร้อนเพื่อให้เนยละลาย ** FONDUE ** เป็นอาหารที่คนสวิสนิยมกินกันมาก
ไม่ว่าจะจัดเลี้ยงเชิญเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง หรือคนรู้จักใกล้ชิดเพราะทำง่าย มีส่วนประกอบไม่ยุ่งยากในการปรุง และข้อสำคัญอร่อยมาก คนสวิสจะกิน Fondueเป็นจำนวน3000กว่าตัน/ปี
ซึ่งเป็นสถิติที่มากพอควรและสูงกว่าปีที่แล้วมาก สมัยก่อนตอนที่ป้ามาอยู่ที่นี่ใหม่ๆเมื่อ30ปีที่ผ่านมา
Fondue มีขายในท้องตลาดจะมีจำนวนไม่มาก จะรู้จักกันดีก็ยี่ห้อGerberและจะกินกันไม่มาก เหมือนปัจจุบันนี้ ใครก็ตามถ้ามีโอกาสและเวลาว่างหรือไปเดินเล่น ถ้ามีเวลาลองไปเดินดูFondueที่ขายในท้องตลาด รับรองว่าจะตาลายมากเพราะปัจจุบัน มีFondueเป็นจำนวนมากมายหลายยี่ห้อที่วางขาย ตามท้องตลาด.ไม่ว่าจะเป็นFondueแบบสำเร็จรูป และแบบใส่เนยแข็งขูดเรียบร้อยแล้ว คนซื้อแค่มาผสมนำปรุงเครื่องเองภายหลัง บางคนอาจจะลองลิ้มรส ตัวอย่างเช่นChampagnerFondueมาแล้ว และมีทั้งFondueที่ผลิตขายสำหรับคน ที่ลดหุ่นหรือระวังความอ้วน..ซึ่งลดจำนวน Fett ลงเป็นจำนวนครึ่งต่อครึ่งจริงๆ ป้าเคยลองกินดูแล้วไม่อร่อยเลย กินแบบธรรมดาอร่อยมากกว่า และFondueสำหรับกินคนเดียว และใช้กับไมโครเวฟ เรียกว่าเขาผลิตให้ผู้บริโภคประทับใจมากจริงๆ **FONDUE ** ประวัติความเป็นมาของFondue
การกินฟองดูเป็นประเพณีเก่าแก่ที่กินกันมานานแล้ว คาดว่าการกินที่เราเรียกว่าFondue เริ่มมานานแล้วประมาณปีคศ.1500 การกินฟองดูสมัยนั้นเป็นการกินแบบง่ายๆ การกินจะกินร่วมกันในหม้อเดียวกัน เล่ากันว่าถึงแม้คนกินจะไม่เป็นมิตรกัน หรือคู่อริก็มากินฟองดูร่วมหม้อกันและเป็นมิตร กันในที่สุด..การกินแบบนี้เลยกลายเป็น สัญลักษณ์ของความสุข..มิตร...และสังสรรค์สมาคมกัน การกินฟองดูสมัยก่อนจะใส่นมสด
ลงในหม้อใส่เนยขูดใส่แป้งสาลี และกวนให้เข้ากันพอสุกแล้วยกเสิร์ฟ และและเอาขนมปัง ใส่ลงในหม้อและใช้ช้อนตักกิน อาหารแบบนี้เรียกว่าAlpsuppeซุปชาวเขาซึ่งเป็นอาหารที่ง่ายๆ นมและเนยและแป้งสาลีเป็นอาหารหลัก ที่จำเป็นและมีอยู่แล้ว การทำFondueเขาจะทำแตกต่างจากปัจจุบันนี้ และคนที่เริ่มทำฟองดูซึ่ง
เป็นการทำแบบไม่ตั้งใจ คนที่คิดค้นทำเป็นพวกแรกคือคนที่อาศัยบนเทือกเขา เขาจะใช้เนยแข็งขูดใส่หม้อ
เอานมสดใส่ลงไปในหม้อ และใส่แป้งสาลีเอาของทุกอย่างกวนให้เข้ากัน พอของทุกอย่างละลายเข้ากันแล้วก็เอาขนมปังใส่ซ่อมตักกินกัน ต่อมาปีคศ.1901ได้มีคนค้นคิดและทำสูตรฟองดู
แต่ไม่มีคนสนใจทำตามต่อมาปี1906 มีคนดัดแปลงเขียนจดสูตรการทำฟองดูบันทึกเป็นครั้งแรก
ป้าจำชื่อคนเขียนไม่ได้แล้วน่าเสียดายมากที่เอกสารสำคัญ ที่เก็บรักษาไว้นานแล้วหายหมดตอนย้ายบ้าน
จำสูตรการทำฟองดูคร่าวๆเขาจะใช้เนยแข็งขูดใส่หม้อ เอานมสดและน้ำลงไปในหม้อ เอาไข่แดงต่อยใส่ลงไป และใส่แป้งสาลีเอาของทุกอย่างกวนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลลงไปนิดหน่อย และใส่น้ำมะนาวลงไป
ใครที่เป็นนักอ่านหรือสนใจเกี่ยวกับฟองดู อ่านจะเคยอ่านเจอกันมาเกี่ยวกับประวัติต่างๆ ที่เล่าแตกต่างกันไป.. บางคนบอกว่าฟองดูไม่ใช่ของคนสวิสนะ เป็นของชาวฝรั่งเศสเห็นไหมภาษายังเป็นฝรั่งเศสเลย ถ้าพิจารณากันดีๆ..จะเห็นว่าต้นตำรับ น่าจะเป็นคนที่อยู่แถบตะวันตกของสวิตฯ เขตนี้พูดภาษาฝรั่งเศส และน่าจะเป็นชาวเจนีวาGenfer แต่ก็บางคนก็บอกว่าน่าจะเป็นคนที่อยู่Neuenburg, หรือwaadt,หรือWaliss
การกินฟองดูFondueเมื่อสมัยปี1900 ยังไม่นิยมแพร่หลายเหมือนปัจจุบันนี้ ลุงเล่าให้ป้าฟังว่าตอนแกเป็นเด็กไม่รู้จักฟองดูเลย จนเริ่มโตเป็นหนุ่มถึงได้รู้จักและเริ่มกิน แต่กินไม่บ่อยเพราะราคาแพงมาก แกได้รับเงินเดือนแค่ไม่กี่ร้อยเอง เมื่อประมาณปี1950หรือประมาณ1954 กรมทหารของสวิสได้ทำให้ฟองดูเป็นที่รู้จักกันดี และนิยมกินกันมากจนถึงปัจจุบันนี้ และเราเรียกสูตรทหารสูตรนี้ว่า Käse-Fondue der Schweizer Armee ซึ่งมีสูตรการทำเรียบง่าย Fondueในสวิตฯมีชื่อเรียกและใช้เนย หลายอย่างแตกต่างกัน

เช่น Freiburger Fondue mit Vacherin
Freiburger Fondue Moitié — Moitié
Genfer Fondue
Glarner — Fondue
Gomser Fondue (Walliser Fondue)
Neuenburger Fondue
Waadtländer Fondue
Tomaten — Käsefondue
Appenzeller Käsefondue
Innerschweizer Fondue

ทำไมจึงถือว่าคิวปิดเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก


ตามเทพนิยายของกรีกและโรมันกล่าวถึงคิวปิดว่าเป็นบุตรชายของมาร์ (Mars) เทพเจ้าแห่งสงคราม และวีนัส (Venus)เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม

วีนัสเกิดความริษยาความงามของนางไซกี (Psyche) ธิดาของกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งกำลังอยู่ในวัยแรกรุ่นและมีรูปโฉมงดงามจึงส่งคิวปิดบุตรชายไปหานางไซกีเพื่อบันดาลให้นางเกิดความรักในบุรุษ แต่คิวปิดกลับไปหลงเสน่ห์นางไซกีเสียเอง จึงลอบพานางไปไว้ยังวังของตน คิวปิดไปหานางเฉพาะเวลากลางคืน และขอร้องอย่าให้นางสอดรู้สอดเห็นว่าตนคือใคร แต่บรรดาพี่สาวของนางไซกีเกิดความริษยา จึงยุให้นางแอบจุดตะเกียงส่องดูขณะที่คิวปิดนอนหลับ เพื่อจะได้ทราบว่าชู้รักของนางคือใคร นางไซกีก็ทำตาม และด้วยความตื่นเต้นยินดีที่เห็นว่าชู้รักเป็นชายหนุ่มรูปงาม นางทำน้ำมันตะเกียงหกลงที่ไหล่ของคิวปิด คิวปิคจึงตื่นขึ้นและต่อว่า แล้วทอดทิ้งนางไป นางไชกีจึงออกติดตามค้นหาคิวปิดเทพเจ้ารูปงามองค์นั้นตามโบสถ์หลายแห่ง

ณ โบสถ์ของวีนัส นางไซกีถูกกลั่นแกล้งให้กระทำสิ่งที่ลำบากยากเย็นหลายอย่าง และสุดท้ายถูกแกล้งใช้ให้ไปนำบบรรจุเครื่องปรุงแต่งความงามจากโลกเบื้องล่างมาให้ นางไซกีก็ได้บมาด้วยความลำบาก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นนางได้เปิดบออกดู กลิ่นอันรุนแรงที่พลุ่งจากบทำให้นางสิ้นสติไป คิวปิดได้ตามไปช่วยแก้ไขไว้ได้ทันท่วงที เทพเจ้ายูปีเตอร์จึงได้ช่วยบันดาลให้นางไซกีเป็นอมตะและได้อภิเษกกับคิวปิด

ชาวโรมันมักทำรูปปั้นคิวปิดเป็นรูปเด็กชายเล็ก ๆ เปลือยและมีปีก ใบหน้ายิ้มและมีลักยิ้ม ท่าทางเป็นเด็กซน มือถือคันธนูและมีกระบอกใส่ลูกธนูอยู่ใกล้ตัว เชื่อกันว่าธนูของคิวปิดที่ยิงไปต้องดวงใจของมนุษย์ทำให้เกิดความรัก ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส (Eros) และนับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความรักและมิตรภาพ

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

croque-monsieur



นาย - croque เสริฟกับ ไข่ดาว หรือ ไข่ตุ๋น บนเรียกว่าแหม่ม croque - [3] (หรือในส่วนของ Normandy croque - cheval) The noted French chef Jacques Pepin also makes a version using chicken instead of ham [ 4 ] , which he demonstrated in the "Our Favorite Sandwiches" [ 5 ] episode on the PBS series (and its coordinating cookbook of the same title) Julia and Jacques Cooking at Home in which he worked with Julia Child . พ่อครัวฝรั่งเศสกล่าว Jacques Pepin ยังทำให้รุ่นใช้ ไก่ แทนแฮม [4] ซึ่งเขาแสดงใน"Our Favorite Sandwiches" [5] ตอนบน PBS series (และ cookbook ประสานงานของของชื่อเดียวกัน) และ Julia Jacques การทำอาหารที่บ้านที่เขาทำงานร่วมกับ เด็ก Julia Many dictionaries attribute the name to the egg resembling an old fashioned woman's hat. [ who? ] According to the Petit Robert dictionary, the name dates to around 1960. พจนานุกรมหลาย attribute ชื่อเป็นหมวกไข่ fashioned หญิงชราคล้าย . [ ใคร ] ตาม Petit Robert พจนานุกรมชื่อวันที่ประมาณ 1960 The name croque-mademoiselle is associated with many different sandwiches, from diet recipes to desserts. [ 6 ] A ham and cheese sandwich snack, very similar to the croque-monsieur, is called a tosti in the Netherlands . mademoiselle ชื่อ croque จะเชื่อมโยงกับแซนวิชที่แตกต่างจากสูตรอาหารเพื่อ desserts [6] แฮมและขนมแซนวิชชีสคล้ายกับนาย - croque, เรียกว่า tosti ใน ประเทศเนเธอร์แลนด์ A version of this sandwich in Spain replaces the ham with sobrassada , a soft sausage from the Balearic Islands that can be easily spread. ในรุ่นนี้แซนด์วิชของ สเปน แทนที่ด้วยแฮม sobrassada , ไส้กรอกนุ่มจาก เกาะแบลีแอริก ที่สามารถกระจายได้อย่างง่ายดาย

Garni CHOUCROUTE



• 4 pounds refrigerated sauerkraut, rinsed well and drained • £ 4 กะหล่ำปลีดองเย็น, ล้างดีและเนื้อ
• 1/2 pound bacon, diced เบคอน• 1 / 2 ปอนด์หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
• 2 large onions, peeled and coarsely chopped • 2 หัวหอมใหญ่ควั่น coarsely
• 3 carrots, pared and sliced • 3 แครอทและหั่น pared
• 1/2 cup chopped parsley • 1 / 2 ถ้วยผักชีฝรั่งสับ
• 2 bay leaves • 2 อ่าวใบ
• 10 black peppercorns • 10 พริกไทยดำ
• 10 juniper berries •ผลเบอร์รี่ 10 ต้นสนชนิดหนึ่ง
• 4 whole cloves • 4 กลีบทั้ง
• 3 cups fruity white wine; Riesling or Mosel • 3 ถ้วยผลไม้ไวน์ขาว; ชื่อองุ่นพันธ์หนึ่งหรือ Mosel
• 4 cups chicken broth • 4 ถ้วยน้ำซุปไก่
• 1 pound boneless pork loin, cubed •เนื้อซี่โครงหมู 1 ปอนด์ไม่มีกระดูก, cubed
• 1/2 pound ham, cubed •แฮม 1 / 2 ปอนด์ cubed
• 1 pound smoked sausage, sliced •ไส้กรอกรมควัน 1 ปอนด์, หั่นบางๆ
• 1 pound bratwurst, sliced • bratwurst ปอนด์ 1, หั่นบางๆ
• 2 tart green apples, cored and coarsely chopped • 2 แอปเปิ้ลเขียวทาร์ต, cored และ coarsely สับ


Cooking Directions ทิศทางการทำอาหาร
In a large Dutch oven, or other kettle with lid, slowly cook bacon with carrots and onion over medium heat, stirring occasionally, about 8-10 minutes. ในเตาอบดัตช์ขนาดใหญ่หรือกาต้มน้ำอื่น ๆ ที่มีฝา, ช้าทำเบคอนกับแครอทและหอมกว่าความร้อนปานกลางกวนเป็นครั้งคราวประมาณ 8-10 นาที

Place parsley, bay leaves, peppercorns, juniper berries and cloves in cheesecloth bag or large tea strainer. วางผักชีฝรั่งใบ bay, พริกไทย, ผลเบอร์รี่และกลีบต้นสนชนิดหนึ่งในถุงผ้าหรือกรองชาใหญ่ Add to pot along with sauerkraut, wine and broth. เพิ่มในหม้อพร้อมกับกะหล่ำปลีดอง, ไวน์และน้ำซุป Bring to a boil; cover and simmer for 1 hour. นำไปต้ม; ชั่วโมงครอบคลุมและหลน 1

Add pork loin, ham, sausage, and bratwurst; simmer another hour. เพิ่มเนื้อซี่โครงหมู, แฮม, ไส้กรอก, และ bratwurst; หลนชั่วโมงอื่น

Add apples and simmer for 20 minutes more. เพิ่มแอปเปิ้ลและหลน 20 นาทีเพิ่มเติม

Serve immediately or refrigerate overnight and reheat to serve. เสิร์ฟทันทีหรือแช่เย็นค้างคืนและอุ่นให้บริการ

Serving Suggestions คำแนะนำให้บริการ
Literally "garnished cabbage," this classic Alsatian dish features mellow sauerkraut garnished indeed---with a wealth of smoked meats. อักษร"กะหล่ำปลีสุกใส"จานนี้ชาวแอลแซคลาสสิคคุณสมบัติกะหล่ำปลีดองกลมกล่อมสุกใสแน่นอน --- กับความมั่งคั่งของเนื้อรมควัน Serve an Alsatian white wine with this dish, and lightly buttered rye bread or pumpernickle. ขนมปังข้าวไรเสิร์ฟไวน์ขาวกับอาหารจานนี้ชาวแอลแซและเนยเบา ๆ หรือ pumpernickle

วิกตอร์ อูโก



วิกตอร์-มารี อูโก (ฝรั่งเศส: Victor-Marie Hugo; 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1802 - 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1885) เป็นกวี นักเขียนบทละคร นักประพันธ์ ศิลปิน รัฐบุรุษ และนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนชาวฝรั่งเศส เป็นผู้มีบทบาทอย่างสูงสำหรับการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมยุคโรแมนติกในประเทศฝรั่งเศส

ชื่อเสียงของอูโกทางด้านงานวรรณกรรมในประเทศฝรั่งเศสมาจากงานกวีนิพนธ์และบทละคร ส่วนงานนวนิยายเป็นที่รู้จักรองลงมา ในบรรดางานกวีนิพนธ์ของเขา Les Contemplations และ La Légende des siècles จัดเป็นงานที่โดดเด่นและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก บางครั้งอูโกได้รับกล่าวขวัญถึงในฐานะกวีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส ส่วนชื่อเสียงภายนอกประเทศ เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานนวนิยาย เรื่อง Les Misérables (เหยื่ออธรรม) และ Notre-Dame de Paris (ฉบับแปลภาษาอังกฤษเรียกว่า The Hunchback of Notre Dame หรือ คนค่อมแห่งโนเตรอะดาม)

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สุดยอดอาหารต้านปวด

แม้ปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิจัยว่า อาหารบางชนิดสามารถบรรเท่าปวดได้จริงหรือ และแม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน แต่ผู้เชียวชาญส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า การกินอาหารบางอย่างช่วยบรรเทาอาการปวดได้จริง ดูซิมีอะไรบ้าง
ถั่วเหลือง
เชื่อกันว่า ช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อสื่อม การทดลองในชายและหญิงจำนวน 135 คนที่กินโปรตีนสกัดจากถั่วเหลืองวันละ 40 กรัมทุกวัน เป็นเวลา 3 เดือน ชี้ว่ากลุ่มตัวอย่างเคลื่อนไหวร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งยังมีอาการปวดลดลง ซึ่งน่าจะเป็นเพราะสารไอโซฟลาโวน (Isoflavone) ในถั่วเหลืองมีประสิทธิภาพต่อต้านการอักเสบ
น้ำมันมะกอก
วิธีแสนง่ายในการบรรเทาปวดด้วยอาหารจากธรรมชาติคือ เหยาะน้ำมันมะกอกลงในอาหาร น้ำมันมะกอกมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในโมเลกุลเดียวที่มีประโยชน์มหาศาลแถมยังประกอบไปด้วยสารโอลีโอแคนทัล (Oleocanthal) ที่มีสรรพคุณใกล้เคียงกับยาแก้อักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDS – non steroid anti-inflammatory drugs) สารตัวนี้จะไปยับยั้งการผลิตฮอร์โมนพรอสตาแกลนดินซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบและอาการปวด
เชอร์รี่
สารแอนโทไวยานิน (Anthocyanin) ซึ่งทำให้เวอรืรี่มีสีแดงเข้ม มีสรรพคุณในการต่อต้านการอักเสบไม่ต่างจากยาแอสไพริน
แม้ยังไม่มีการทดลองกับคนว่าต้องกินแค่ไหนจึงจะเห็นผล แต่ประโยชน์ต่อสุขภาพของเชอร์รี่ในด้านอื่นๆ เช่น ช่วยให้ห่างไกลโรคเบาหวานและลดกรดในกระเพราะทำให้ผลไม้นี้เหมาะจะเป็นหนึ่งในผลไม้โปรดของคุณ (สตอรอว์เบอร์รี่ก็มีสารชนิดนี้ แม้จะไม่มากเท่า)
โปรตีน
มีบทบาทในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่แข็งแรง ซึ่งจะช่วยให้อาการปวดทุเลาลง
โปรตีนที่ดีควรมาจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน รวมไปถึงโปรตีนจากถั่วเหลืองอย่างเต้าหู้และนมถั่วเหลือง
แหล่งโปรตีนที่ดียังมาจากอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า – 3 อย่างปลาแซลมอน และปลาที่มีไขมันอื่นๆ เช่น ปลาซาร์ดีนและปลาทูน่า
องุ่น
เปลือกองุ่นมีสารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ซึ่งทราบกันทั่วไปว่า สามารถป้องกันอัดสเบของเซลล์ได้กีไม่แพ้ยาสมัยใหม่บางขนาน องุ่นจึงเป็นของว่างสุขภาพที่ไม่มีผลข้างเคียงเหมือนกินยา
ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดแห้งต่างๆ
เป็นแหล่งสำคัฯของทริปโตแฟน (Tryptophan) ช่วยลดปริมาณไวต่อการตอบสนอง ซึ่งเชื่อมโยงกับความรู้สึกเจ็บปวดสารนี้ยังช่วยต่อต้านอาการซึมเสร้าซึ่งพบมากในผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง
ดาร์กช็อกโกแลต
มีฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ซึ่งเป็นทั้งสารแอนติออกซิแดนต์และสารต่อต้านการอักเสบ แต่เนื่องจากเป็นอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง จึงควรกินครั้งละชั้นเล็กๆ
4 กฏ ลดปวด – กินเพื่อสุขภาพ
1. เลี่ยงกรดไขมันโอเมก้า – 6 โรคไขข้ออักเสบ มะเร็ง และโรคหัวใจ ลวนมีที่มาจากอักเสบภายในร่างกาย การใส่ใจการกินสามารถป้องกันหรือบรรเทาอาการได้ อาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่มีกรดไขมันโอเมก้า – 6 สูง นอกจากนี้ลดการบริโภคน้ำมันดอกคำฝ้าย น้ำมันถั่วเหลืองน้ำมันเมล้ดฝ้าย และน้ำมันข้าวโพด ซึ่งมักเป็นส่วนประกอบในขนมขบเคี้ยว เนยเทียนและของทอด
2. เพิ่มเส้นใยอาหาร เส้นใยอาหารช่วยลดรีอีดทีฟโปรตีน (Reactive Protein) ในเลือด ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคไขข้ออักเสบหรือโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
แม้ปัจจุบันจะมีวิตามินเสริมใยอาหารแต่เส้นใยอาหารจากธรรมชาติซึ่งไม่ผ่านการปรับปรุงแต่งดีที่สุด เช่น ผัก ถั่วที่เป็นผัก ถั่วเมล็ดแห้ง และธัญพืชไม่ขัดสี
3. กินโลว์คาร์บให้ถูกหลัก คร์โบไฮเดรตที่คนส่วนใหญ่กินทุกวันนี้มักเป็นชนิดที่ผ่านการแปรรูปหลายขั้นตอน ทำให้เสี่ยงต่อการอักเสบและทำให้ปวดตามข้อต่อ
การศึกษาชื้นใหม่ยืนยันว่า อาหารโลว์คาร์บมีประสิทธิภาพลดการอักเสบได้ดีกว่าอาหารโลว์แฟต แต่ถ้าจะกินคาร์โบไฮเดรต ควรเลือกชนิดดี เช่น ผักใบเขียว ขนมปังโฮลวีต ข้าวช้อมมือ
4. บริโภคกรดไขมันดอเมก้า – 3 มีประโยชน์ต่อสุขภาพนานัปการ ที่สำคัญช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ ในร่างกาย พบมากในปลาที่มีไขมัน อย่างเช่น ปลาทูน่า นอกจากนี้พบใน น้ำมันคาโนลา และวอลนัท
อาหารที่กล่าวมานี้ไม่เพียงมีคุณประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ยังมีรสชาติดีด้วย รู้อย่างนี้แล้ว อย่ารอช้าไปหามากินกันเถอะ

ภาษาสากลกับภาษาที่โลกลืม

ภาษาถือเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการอุบัติขึ้นของมนุษย์ในโลกกลม ๆ ใบนี้ แต่น่าใจหายไม่น้อย เมื่อทราบว่าภาษาอีกหลายร้อยหลายพันภาษาที่อยู่คู่กับมนุษย์มายาวนาน กำลังจะถึงกาลอวสาน หาผู้สืบทอดต่อไปไม่ได้ ด้วยเหตุผลสำคัญหลายอย่าง ก่อนหน้านี้ อาจจะเคยได้ยินคนพูดภาษาอูดิฮี ในแถวไซบีเรีย, ภาษาอียัค ในดินแดนอลาสกา หรือภาาาอะริคาปู ในป่าดงดิบแถบอเมซอน นับจากนี้ต่อไปอีกไม่นานนัก เราอาจจะไม่ได้ยินภาษาเหล่านี้แล้วก็ได้
ในจำนวนภาษาที่มนุษย์ใช้อยู่ทั่วโลกเวลานี้ มีถึง 6,800 ภาษา แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าภาษาเหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่ง ถึงร้อยละ 90 อาจจะอันตรธานหาบสาปสูญไปจากโลกมนุษย์ภายใน100 ปีนี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? "สถาบันเวิลด์วอตช์" องค์กรเอกชนที่เฝ้าติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก นำข้อมูลที่ได้ศึกษามาเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า เหตุผลหนึ่งก็คือว่า กว่าครึ่งหนึ่งของภาษาที่ใช้กันทั่วโลก แต่ละภาษามีคนพูดน้อยกว่า 2,500 คน ซึ่งถือว่าน้อยเหลือเกิน และหนักหนาสาหัสมากที่จะธำรงรักษาให้ภาษาคงอยู่ต่อไปนี้
ด้านองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกระบุว่า การสืบทอดภาษาให้คงอยู่ต่อไปจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกคนอีกรุ่นหนึ่งนั้นจำเป็นต้องมีคนพูดภาษานั้น ๆ ได้อย่างน้อย 100,000 คนขึ้นไป
สำหรับ 10 ภาษาที่กลายเป็นภาษาสากลยอดนิยมที่มีจำนวนผู้พูดมากที่สุดในโลกนั้น ประกอบด้วย ภาษาจีนกลาง มีผู้พูดมากที่สุด 885 ล้านคน ภาษาสเปน 332 ล้านคน, ภาษาอังกฤษ 322 ล้านคน, ภาษาอารบิค 220 ล้านคน, ภาษาเบงกาลี 189 ล้านคน, ภาษาฮินดี 182 ล้านคน, ภาษาโปรตุเกส 170 ล้านคน, ภาษารัสเซีย 170 ล้านคน, ภาษาญี่ปุ่น 125 ล้านคน และภาษาเยอรมัน 98 ล้านคน
ในขณะที่ภาษาไทยของเรานั้น แน่นอนอยู่แล้วว่า 62 ล้านคนในประเทศไทย ต้องพูดภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่แสดงถึงวัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นไทยอยู่แล้วและต้องไม่ลืมว่า เรายังมีคนไทยที่ไปอาศัยอยู่ในต่างแดน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ยังอนุรักษ์และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ นอกจากนั้นแล้ววิชาภาษาไทย ยังถูกบรรจุอยู่ในวิชาภาษาต่างประเทศของการศึกษาในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศบางประเทศด้วย ซึ่งเราควรจะภาคภูมิใจในภาษาไทยของเรา
ย้อนกลับมาที่ภาษาที่โลกลืมกันต่อ สงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ การยึดครองและภัยธรรมชาติรุนแรง กล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุหลักของการทำลายล้างภาษาให้สิ้นไปจากโลก เพราะมนุษย์จะเสียชีวิตไปเพราะสาเหตุเหล่านี้เป็นจำนวนมหาศาล พร้อม ๆ กับภาษาที่พวกเขาใช้ด้วย
เวิลด์วอตช์ระบุว่า ขณะนี้ มีคนพูดภาษาอูดิฮี ได้แค่ 100 คน ส่วนภาษาอะริคาปู มีคนพูดได้น้อยยิ่งกว่า เพียง 6 คนเท่านั้น แต่ที่น่าตกใจที่สุดเห็นจะเป็นภาษาอียัค ที่มีคนพูดได้เพียงคนเดียวในโลก คือคุณยายมารี สมิธ วัย 83 ปี อาศัยอยู่ในเมืองอันโชเรจ รัฐอลาสกา เธอคือคนสุดท้ายที่พูดภาษานี้ได้ และอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้าภาษาอียัค ก็จะสูญสิ้นไปพร้อมกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณยายวัยดึกผู้นี้
ดูแล้ว ภาษาอียัค น่าจะเป็นภาษาต่อไปที่สูญหายจากโลก คงเหลือแต่เพียงประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในหนังสือว่าครั้งหนึ่งยังมีภาษานี้ใช้ในโลกมนุษย์ ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้รับทราบกันเพียงเท่านั้น
คงจะยังจดจำกันได้เป็นอย่างดีกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในอินเดียในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้อนรับปีใหม่ของปี 2544 โดยได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงขึ้นในภาคตะวันตกของอินเดีย ทำให้มีประชาชนที่พูดภาษากุดจี ตายเป็นเบือ ประมาณ 30,000 คน เหลือผู้พูดภาษานี้จริง ๆ เพียง 770,000 คน เท่านั้น นับว่าเป็นเหตุการณ์วิปโยคที่นอกจากจะสร้างความเสียหายในด้านเศรษฐกิจแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าจะส่งผลกระทบอย่างร้ายกาจต่อมรดกวัฒนธรรมของประชาชนในพื้นที่ด้วย
สถานการณ์ใกล้ "สูญพันธุ์" เริ่มเห็นราง ๆ แล้วสำหรับภาษากุดจี หากคน 770,000 คน ไม่ช่วยกันอุ้มชูรักษาไว้ ก็น่าจะสาปสูญไปเช่นกัน ตัวอย่างนี้น่าจะเห็นชัดว่า ภัยธรรมชาติเป็นอันตรายเพียงใดต่อวัฒนธรรมของมนุษย์
สำหรับ 8 ประเภทที่มีภาษาใช้อย่างดาษดื่นมากที่สุด ประกอบด้วย ปาปัวนิวกินี มี 832 ภาษา, อินโดนีเซีย 731 ภาษา, ไนจีเรีย 515 ภาษา, อินเดีย 400 ภาษา, เม็กซิโก แคเมอรูน และออสเตรเลีย มีประเทศละ 300 ภาษา และบราซิลมี 234 ภาษา โดยอินเดียนั้น มีภาษาราชการใช้ถึง 15 ภาษา มากกว่าประเทศอื่นใดทั้งหมด
การสูญสิ้นไปของภาษาพูดไม่ใช่เป็นของใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่เชื่อว่ามีภาษานับพันภาษาได้หาบสาปสูญไปก่อนหน้านี้แล้ว
บรรดานักภาษาศาสตร์เชื่อกันว่า ภาษาพูดของมนุษย์ 3,400 - 6,120 ภาษา อาจจะสูญหายภายในปี 2643 หรืออีกประมาณ 100 ปีข้างหน้า ซึ่งก็เท่ากับจะมีภาษาพูดสูญหายไป 1 ภาษาในทุก 2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีหลายภาษากำลังง่อนแง่นใกล้สูญไป แต่ยังมี 2 - 3 ภาษา ซึ่งก็รวมทั้งภาษาจีน, กรีก และฮิบรู อันเป็นภาษาโบราณที่ใช้กันมามากกว่า 2,000 ปี กำลังจะฟื้นคืนชีพรอดพ้นจากการสูญหายไป เนื่องจากมีผู้คนหันกลับมาพูดภาษาเหล่านั้นแล้วอย่างน่ายินดี
แม้ว่าภาษาบางภาษากำลังใกล้ถึง "จุดจบ" แต่ก็ใช่ว่า เจ้าของภาษาจะไม่ดิ้นรนขวนขวายเพื่อรักษาภาษาพูดของเขาไว้ชั่วลูกชั่วหลานต่อไป ในปี 2526 ชาวฮาวายได้จัดตั้งองค์กร "อะฮา ปูนานา ลีโอ" ขึ้นเพื่อพลิกฟื้นกอบกู้ภาษาพื้นเมืองของพวกเขาที่เคยใช้กันอยู่ทั่วไปบนเกาะฮาวายแห่งนี้ โดยจัดให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนของรัฐด้วย ว่ากันตามความเป็๋นจริงแล้ว ภาษาพื้นเมืองของชาวฮาวายก็เกือบเอาตัวไม่รอดแล้วเช่นกัน เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯสั่งห้ามไม่ให้สอนภาษานี้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนบนเกาะฮาวายมาตั้งปี 2441 แล้ว
องค์กร "อะฮา ปูนานา ลีโอ" ซึ่งหมายถึง "เครือข่ายภาษา" ได้รื้อฟื้นเปิดสอนภาษาพื้นเมืองฮาวายในโรงเรียนอนุบาลในปี 2527 หลังจากที่สอนในโรงเรียนมัธยม จนสามารถผลิตนักเรียนรุ่นแรกที่จบหลักสูตรภาษานี้ในปี 2542 จนถึงขณะนี้ เป็นที่น่ายินดีอย่างมากว่า มีชาวฮาวายประมาณ 7,000 - 10,000 คน สามารถพูดภาษาพื้นเมืองนี้ได้ จากเดิมที่มีอยู่ไม่ถึง 1,000 คนเมื่อปี 2526 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียวสำหรับโครงการชุบชีวิตของภาษานี้ และน่าจะถือเป็นแบบอย่างได้สำหรับภาษาที่กำลังใกล้สูญหาย เพราะทำได้ในลักษณะเดียวกันนี้ก็ถือว่ายังไม่สายเกินแก้

โรคติดเน็ตคุณเป็นหรือเปล่า

อินเตอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น คือมีทั้งข้อดีและข้อเสีย นอกเหนือไปจากเรื่องไม่ดีไม่งามต่าง ๆ ที่หลั่งไหลมากับสื่อชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพลามกอนาจาร ไวรัส การพนัน หรืออะไรร้าย ๆ ทำนองนี้แล้ว แม้แต่คนเล่นเว็บที่เลือกชมแต่สิ่งดี ๆ ก็อาจจะมีปัญหาได้เหมือนกัน
เนื่องจากในสังคมอเมริกันมีคนใช้อินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก และนับวันก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น เขาจึงเกิดความเป็นห่วงกันว่า เทคโนโลยีใหม่นี้จะส่งผลกระทบอะไรต่อสภาพจิตใจคนบ้างหรือเปล่า ดังนั้นนาย David Greenfield นักวิจัยและนักจิตบำบัด จึงได้ร่วมกับสำนักข่าว ABC News ทำการสำรวจความรู้สึกและสภาพจิตใจของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมากถึง 17,251 ราย ผ่านทางเว็บไซท์ www.abcnews.com ซึ่งถือเป็นการศึกษากลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำกันมา และได้นำเสนอผลงาน ครั้งนี้ในที่ประชุมประจำปีของสมาคมจิตเวชอเมริกัน (American Psychological Association) เมื่อเดือนสิงหาคม (2542) ที่ผ่านมานี้เอง
ผลการศึกษาครั้งนี้ดูเหมือนจะสนับสนุนแนวความคิดที่กำลังเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นว่า ความอยากใช้อินเตอร์เน็ตอย่างไม่อาจหักห้ามใจตัวเอง หรือเราอาจเรียกว่า "โรคติดเน็ต" นั้น เป็นปัญหาทางจิตอย่างหนึ่ง และเป็นปัญหาที่มีอยู่จริง
แบบสอบถามที่ใช้ในการสำรวจครั้งนี้ Greenfield ปรับปรุงมาจากแบบสอบถามที่ใช้กับผู้ติดการพนัน ซึ่งถ้าผู้ถูกสำรวจตอบ "ใช่" มากกว่า 5 ข้อจากเกณฑ์ 10 ข้อ ก็จะถูกประเมินว่ามีอาการติดอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่ามีผู้อยู่ในเกณฑ์นี้ 990 รายจากผู้ตอบทั้งหมด หรือ ประมาณ 5.7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าคิดว่าประชากรที่ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกมีประมาณ 200 ล้านราย ก็หมายความว่าอาจจะมีผู้ติดเน็ตถึง 11.4 ล้านคนทีเดียว
Greenfield กล่าวว่า "ในฐานะนักบำบัด ผมพบผู้ป่วยทั้งประเภทที่ครอบครัวแตกแยก, เด็ก ๆ มีปัญหา, พวกที่ทำผิดกฏหมาย และ พวกที่กำลังใช้เงินมากเกินไป
อย่างไรก็ดีจำนวน 5.7 เปอร์เซ็นต์ที่มีปัญหานั้น ก็จัดว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ที่คิดว่ามีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากการสำรวจของนักเรียนระดับวิทยาลัย นอกจากนี้การสำรวจยังทำผ่านเว็บไซท์เพียงแห่งเดียว และแบบสอบถาม ยังอยู่ติดกับหัวข้อข่าวเรื่องการติดอินเทอร์เน็ตด้วย ดังนั้นผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จึงอาจมีแนวโน้มของอาการนี้อยู่แล้วก็ได้ ซึ่งจะทำให้ผลสำรวจเบี่ยงเบนไปบ้าง
สำหรับผลสรุปอื่น ๆ ที่น่าสนใจจากการสำรวจครั้งนี้ก็เช่น
1 ใน 4 บองนักเล่นเว็บยอมรับว่าใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อบรรเทาความรู้สึกตกต่ำ, สิ้นหวัง, สำนึกผิด และความกลุ้มใจ
1 ใน 7 ยอมรับว่ามีความรู้สึกหมกมุ่นถึงอินเตอร์เน็ตระหว่างที่ไม่ได้เล่น
1 ใน 7 เช่นกัน บอกว่าเคยพยายามจำกัดการใช้ แต่ล้มเหลว
1 ใน 14 มีความรู้สึกกระวนกระวายและหงุดหงิดเมื่อพยายามจะลดการเล่น
1 ใน 25 ตอบว่าตนสูญเสียงาน โอกาสทางวิชาชีพ หรือความสัมพันธ์ที่สำคัญเพราะนิสัยการเล่นอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

น้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ



ปัญหากลิ่นปากเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้เสียบุคลิกภาพ และแสดงถึงปัญหาสุขภาพในช่องปากอีกด้วย การแก้ไขด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปากบางชนิด ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เกินมาตรฐาน (เข้มข้นมากกว่า 26%) ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็งบริเวณศรีษะ และลำคอ การดับกลิ่นปากด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ขอแนะนำ 2 สูตรน้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ ดังนี้ 1. ขิง และมะนาวใช้น้ำขิงสด 1 ช้อนชา, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำอุ่น 1 แก้วผสมให้เข้ากัน ใช้กลั้วปากวันละ 1 ครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า 2. ใบฝรั่งล้างใบฝรั่งให้สะอาด นำมาหรือตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำเกลือ 0.9%(หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป) แช่ไว้ 10-15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ใช้บ้วนปาก แม้จะมีส่วนผสมที่หาได้ง่าย และทำเองไม่ยาก แต่การแก้ที่ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง คือ การดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี ด้วยการทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเป็นการช่วยให้สุขภาพดีจากภายในอย่างแท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วิธีทำให้ผิวขาว 27 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย... 1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง 2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิว ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง 3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย 4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว 5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง 6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย 7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น 8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ 9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง 10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้ 11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด 12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้ 13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ 14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด 16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ 17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก 18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น 19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี 20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้ 21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง 22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ 23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป 24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด 25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้ 26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น 27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553




ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งจิตวิทยา
เขาเกิดวันที่ 6 พฤษภาคม 1856 ในครอบครัวที่มีอาชีพขายขนสัตว์ เมื่ออายุได้ 4 ขวบ ครอบครัวก็ได้ย้ายจากเชโกสโลวะเกียไปอยู่ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
ฟรอยด์ชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เขาฉลาดและสอบได้ที่ 1 ทุกครั้ง เมื่ออายุได้ 17 ปี เขาสอบเข้าศึกษาต่อวิชาแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเวียนนาได้ หลังจากเรียนจบเขาได้ค้นคว้าต่อทางด้านเซลล์สมอง และได้ไปศึกษาเกี่ยวกับโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับชาร์โก ซึ่งเป็นหมอรักษาคนไข้ที่เป็นอัมพาตอยู่นั่น ปรอยด์ได้พบว่าคนไข้บางรายป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ทางร่างกาย เมื่อกลับมายังกรุงเวียนนา เขาตัดสินใจทำงานเป็นแพทย์ทางด้านสมองและประสาท และแต่งงานกับมาร์ธา เบิร์นเนย์ จนมีลูกด้วยกันถึง 6 คน
ฟรอยด์ได้พบคนไข้ที่เป็นอัมพาตเนื่องจากปัญหาทางจิตใจหลายราย เขาจึงใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ คือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้น เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฎว่ามีผู้ป่วยหลายรายหายจากการอัมพาตเมื่อรักษาด้วยวิธีนี้
ในตอนแรก มีผู้คัดค้านไม่ยอมรับ แต่ฟรอยด์ก็ได้ศึกษาและทดลอง จนผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับทั่วไปในปี 1930
ฟรอยด์เป็นทั้งแพทย์และนักจิตวิทยา เป็นผู้บุกเบิกการศึกษาทางด้านจิตวิทยา ทฤษฎีต่างๆ ของเขาที่ค้นพบยังคงนำมาใช้รักษาโรคทางจิตอยู่ทุกวันนี้ เช่น ทฤษฎีบุคคลิกภาพแบบจิตวิเคราะห์ ซึ่งกล่าวว่า พลังจิตใต้สำนึกมีผลต่อพฤติกรรมของแต่ละบุคคล และจำแนกบุคคลให้แตกต่างกัน
ในปี 1938 กองทัพนาซีของเยอรมัน เข้ายึดครองออสเตรีย ฟรอยด์ต้องหลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษและถึงแก่กรรมในวันที่ 27 สิงหาคม 1939 ด้วยโรคมะเร็งและมีอายุได้ 83 ปี
ฟรอยด์เชื่อว่าจิตประกอบด้วยพลังจิต 3 ส่วนคืออิด


(Id) = เป็นแรงขับให้เกิดความต้องการ เช่น ความหิว ความรัก เป็นต้นอีโก
(Ego) = เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ตัดสินใจซูเปอร์อีโก
(Super Ego) = เป็นส่วนที่ได้รับการอบรมแล้ว รู้จักรับผิดชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์และความรู้สึก

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

ตากแดดรับวิตามินเลี่ยงกระดูกพรุน



สำหรับผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนมักจะมีอาการปวดตามกระดูกส่วนกลางที่รับน้ำหนัก รวมทั้งมีอาการปวดตามข้อต่อต่าง ๆ ร่วมด้วย และการเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระดูกหักได้ง่าย ๆ
สำหรับการขาดฮอร์โมนเพศในสตรีวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน โดยเฉพาะ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่เคยช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดูก อาจทำให้สตรีวัยทองมีโอกาสเสี่ยงเกิดโรคกระดูกพรุนได้สูง สำหรับผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนมักจะมีอาการปวดตามกระดูกส่วนกลางที่รับ น้ำหนัก อาทิ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง รวมทั้งมีอาการปวดตามข้อต่อต่าง ๆ ร่วมด้วย และการเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระดูกหักได้ง่าย ๆ การดื่มนม รับประทานอาหารทีมีแคลเซียมและโปรตีน ถือเป็นการสะสมแคลเซียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงเกิดภาวะกระดูกพรุนเมื่อเข้าสู่วัยทองได้ นอกจากนี้ยังควรให้ผิวผนังได้ถูกแสงแดดเพื่อรับวิตามินดี ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียม และรักษาระดับแคลเซียมในกระแสเลือด เสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ และควบคุมการทรงตัว สำหรับการรับแสดงแดด ก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยควรเป็นแสงแดดในช่วงเวลา 8.30 - 09.00 น. และอีกช่วงคือ 16.00 - 16.30 น. ที่ สำคัญในการรับให้ผิวหนังถูกแสงแดดตามช่วงเวลาที่แนะนำนั้นไม่ควรทาครีมกัน แดดที่มีค่าเอสพีเอฟเกิน 35 เนื่องจากสารเคมีในครีมกันแดดจะเป็นตัวต้านไม่ให้ผิวหนังได้รับรังสียูวีที่ เป็นประโยชน์กับการสังเคราะห์ให้ได้วิตามินดี ทั้งนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย.

รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง



ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ กินยาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที วันนี้เรามีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอก..
นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อ ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้ นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด ก็ช่วยรักษาได้เช่นกัน แต่อย่าจิบมากจนเกินไป อาจทำให้ท้องผูกได้ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้.

วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคกระเพาะ



วันนี้เรามีวิธีปฏิบัติสำหรับคนที่รู้ตัวว่าเป็นโรคกระเพาะมาบอก
กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ปล่อยให้ท้องว่างหรือหิว ถ้าหิวก่อนเวลาให้ดื่มนม หรือน้ำเต้าหู้ น้ำข้าว น้ำผลไม้
หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู
งดดื่มเหล้า เบียร์ ยาดอง กาแฟ
งดการสูบบุหรี่
หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวด แก้ไข้ ที่มีแอสไพริน หรือยาชุดต่าง ๆ รวมทั้งยาแก้ปวดกระดูก และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอน ยาหม้อต่าง ๆ
ควรพักผ่อนให้มากเพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบานผ่อนคลายเครียด วิตกกังวล และไม่หงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย
กินยาตามแพทย์สั่ง ถ้ากินยาแล้วอาการดีขึ้น ต้องกินยาติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ ไม่ควรหยุดยาก่อน เพราะอาการปวดท้องจะกำเริบได้อีก
ควรออกกำลังกาย แต่ไม่ควรหักโหมมากเกินไป
อย่าซื้อยากินเอง ถ้ามีโรคอื่นร่วมด้วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะดีกว่า.

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกดาหลา



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Etlingera elatior (Jack) R.M. Smith

ชื่อพ้อง : Phaeomeria magnifica, Nicolaia elatior

ชื่อสามัญ : ดาหลาวงศ์ : Zingiberales

ชื่ออื่น ๆ : กาหลา,

กะลาถิ่นกำเนิด : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลักษณะทางพฤษศาสตร์ลำต้น : ดาหลาเป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า (rhizome) เหง้ามนี้จะเป็นบริเวณที่เกิดของหน่อดอกและหน่อต้น ดาหลา 1 ต้น สามารถให้หน่อใหม่ได้ประมาณ 7 หน่อ ในเวลา 1 ปี ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบซ้อนกันแน่น เช่นเดียวกับพวกกล้วย ส่วนนี้คือลำต้นเทียม (pseudostem) ลำต้นเหนือดินสูง 2-3 เมตร มีสีเขียวเข้ม

ใบ : มีรูปร่างยาวรี กลางใบกว้างแล้วค่อย ๆ เรียวไปหาปลายใบ และฐานใบ ใบไม่มีก้านใบ ผิวเกลี้ยงท้งด้านบนและด้านล่าง ใบยาว 30-80 เซ็นติเมตร กว้าง 10-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลมฐานใบเรียวลาดเข้าหาก้านใบ เส้นกลางใบปรากฏชัดทางด้านล่างของใบ

ดอก : ดอกดาหลาเป็นดอกช่อมีลักษณะดอกแบบ (head) ประกอบด้วยกลีบประดับ ด้วยกลีบประดับขนาดใหญ่ มีความกว้างกลีบ 2-3 ซ.ม. จะมีสีแดงขลิบขาวเรียงซ้อนกันอยู่และจะบานออก ประมาณ 25-30 กลีบ และมีกลีบประดับขนาดเล็กอยู่ส่วนบนของช่อดอก ความกว้างกลีบประมาณ 1 ซ.ม. ซึ่งมีสีเดียวกับกลีบประดับขนาดใหญ่ กลีบประดับเล็กนี้จะหุบเข้าเรียงเป็นระดับมีประมาณ 300-330 กลีบ ภายในกลีบประดับขนาดใหญ่ที่บานออกจะมีดอกจนิงขนาดเล็กกลีบดอกสีแดง ซึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศอยู่จำนวนมาก ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างดอกประมาณ 14-16 เซนติเมตร ความยาวช่อ 10-15 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ลักษณะก้านช่อดอกแข็งตรง ดอกจะออกตลอดปีแต่จะให้ดอกดกที่สุดในช่วงฤดูร้อน คือ เดือนมีนาคม - พฤษภาคม ดอกจะพัฒนามาจากหน่อดอกที่แทงออกมาจากเหง้าใต้ดินลักษณะของหน่อจะมีสีชมพู ที่ปลายหน่อ

ประโยชน์และสรรพคุณ : ดอกดาหลามีรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณช่วยแก้ลมพิษ แก้โรคผิวหนัง ช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เนื่องจากดอกดาหลามีกลิ่นหอมเฝื่อนๆ และอมเปรี้ยวจึงมักนิยมนำกลีบดอกไปยำ หรือจะนำดอกตูมและหน่ออ่อนต้มจิ้มน้ำพริก ใส่แกงเผ็ดก็ได้