วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

ตากแดดรับวิตามินเลี่ยงกระดูกพรุน



สำหรับผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนมักจะมีอาการปวดตามกระดูกส่วนกลางที่รับน้ำหนัก รวมทั้งมีอาการปวดตามข้อต่อต่าง ๆ ร่วมด้วย และการเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระดูกหักได้ง่าย ๆ
สำหรับการขาดฮอร์โมนเพศในสตรีวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน โดยเฉพาะ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่เคยช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดูก อาจทำให้สตรีวัยทองมีโอกาสเสี่ยงเกิดโรคกระดูกพรุนได้สูง สำหรับผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนมักจะมีอาการปวดตามกระดูกส่วนกลางที่รับ น้ำหนัก อาทิ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง รวมทั้งมีอาการปวดตามข้อต่อต่าง ๆ ร่วมด้วย และการเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระดูกหักได้ง่าย ๆ การดื่มนม รับประทานอาหารทีมีแคลเซียมและโปรตีน ถือเป็นการสะสมแคลเซียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงเกิดภาวะกระดูกพรุนเมื่อเข้าสู่วัยทองได้ นอกจากนี้ยังควรให้ผิวผนังได้ถูกแสงแดดเพื่อรับวิตามินดี ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียม และรักษาระดับแคลเซียมในกระแสเลือด เสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ และควบคุมการทรงตัว สำหรับการรับแสดงแดด ก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยควรเป็นแสงแดดในช่วงเวลา 8.30 - 09.00 น. และอีกช่วงคือ 16.00 - 16.30 น. ที่ สำคัญในการรับให้ผิวหนังถูกแสงแดดตามช่วงเวลาที่แนะนำนั้นไม่ควรทาครีมกัน แดดที่มีค่าเอสพีเอฟเกิน 35 เนื่องจากสารเคมีในครีมกันแดดจะเป็นตัวต้านไม่ให้ผิวหนังได้รับรังสียูวีที่ เป็นประโยชน์กับการสังเคราะห์ให้ได้วิตามินดี ทั้งนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย.

รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง



ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ กินยาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที วันนี้เรามีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอก..
นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อ ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้ นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด ก็ช่วยรักษาได้เช่นกัน แต่อย่าจิบมากจนเกินไป อาจทำให้ท้องผูกได้ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้.

วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคกระเพาะ



วันนี้เรามีวิธีปฏิบัติสำหรับคนที่รู้ตัวว่าเป็นโรคกระเพาะมาบอก
กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ปล่อยให้ท้องว่างหรือหิว ถ้าหิวก่อนเวลาให้ดื่มนม หรือน้ำเต้าหู้ น้ำข้าว น้ำผลไม้
หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู
งดดื่มเหล้า เบียร์ ยาดอง กาแฟ
งดการสูบบุหรี่
หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวด แก้ไข้ ที่มีแอสไพริน หรือยาชุดต่าง ๆ รวมทั้งยาแก้ปวดกระดูก และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอน ยาหม้อต่าง ๆ
ควรพักผ่อนให้มากเพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบานผ่อนคลายเครียด วิตกกังวล และไม่หงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย
กินยาตามแพทย์สั่ง ถ้ากินยาแล้วอาการดีขึ้น ต้องกินยาติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ ไม่ควรหยุดยาก่อน เพราะอาการปวดท้องจะกำเริบได้อีก
ควรออกกำลังกาย แต่ไม่ควรหักโหมมากเกินไป
อย่าซื้อยากินเอง ถ้ามีโรคอื่นร่วมด้วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะดีกว่า.

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกดาหลา



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Etlingera elatior (Jack) R.M. Smith

ชื่อพ้อง : Phaeomeria magnifica, Nicolaia elatior

ชื่อสามัญ : ดาหลาวงศ์ : Zingiberales

ชื่ออื่น ๆ : กาหลา,

กะลาถิ่นกำเนิด : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลักษณะทางพฤษศาสตร์ลำต้น : ดาหลาเป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า (rhizome) เหง้ามนี้จะเป็นบริเวณที่เกิดของหน่อดอกและหน่อต้น ดาหลา 1 ต้น สามารถให้หน่อใหม่ได้ประมาณ 7 หน่อ ในเวลา 1 ปี ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบซ้อนกันแน่น เช่นเดียวกับพวกกล้วย ส่วนนี้คือลำต้นเทียม (pseudostem) ลำต้นเหนือดินสูง 2-3 เมตร มีสีเขียวเข้ม

ใบ : มีรูปร่างยาวรี กลางใบกว้างแล้วค่อย ๆ เรียวไปหาปลายใบ และฐานใบ ใบไม่มีก้านใบ ผิวเกลี้ยงท้งด้านบนและด้านล่าง ใบยาว 30-80 เซ็นติเมตร กว้าง 10-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลมฐานใบเรียวลาดเข้าหาก้านใบ เส้นกลางใบปรากฏชัดทางด้านล่างของใบ

ดอก : ดอกดาหลาเป็นดอกช่อมีลักษณะดอกแบบ (head) ประกอบด้วยกลีบประดับ ด้วยกลีบประดับขนาดใหญ่ มีความกว้างกลีบ 2-3 ซ.ม. จะมีสีแดงขลิบขาวเรียงซ้อนกันอยู่และจะบานออก ประมาณ 25-30 กลีบ และมีกลีบประดับขนาดเล็กอยู่ส่วนบนของช่อดอก ความกว้างกลีบประมาณ 1 ซ.ม. ซึ่งมีสีเดียวกับกลีบประดับขนาดใหญ่ กลีบประดับเล็กนี้จะหุบเข้าเรียงเป็นระดับมีประมาณ 300-330 กลีบ ภายในกลีบประดับขนาดใหญ่ที่บานออกจะมีดอกจนิงขนาดเล็กกลีบดอกสีแดง ซึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศอยู่จำนวนมาก ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างดอกประมาณ 14-16 เซนติเมตร ความยาวช่อ 10-15 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ลักษณะก้านช่อดอกแข็งตรง ดอกจะออกตลอดปีแต่จะให้ดอกดกที่สุดในช่วงฤดูร้อน คือ เดือนมีนาคม - พฤษภาคม ดอกจะพัฒนามาจากหน่อดอกที่แทงออกมาจากเหง้าใต้ดินลักษณะของหน่อจะมีสีชมพู ที่ปลายหน่อ

ประโยชน์และสรรพคุณ : ดอกดาหลามีรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณช่วยแก้ลมพิษ แก้โรคผิวหนัง ช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เนื่องจากดอกดาหลามีกลิ่นหอมเฝื่อนๆ และอมเปรี้ยวจึงมักนิยมนำกลีบดอกไปยำ หรือจะนำดอกตูมและหน่ออ่อนต้มจิ้มน้ำพริก ใส่แกงเผ็ดก็ได้

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์บนไม้กวาดของแฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter

แฮร์รี่ พอตเตอร์ขึ้นบินครั้งแรกด้วยไม้กวาดของโรงเรียนฮอกวอตส์ในวิชาฝึกบินของมาดามฮูช แต่ไม้กวาดด้ามแรกที่เป็นของเขาเอง คือ "นิมบัสสองพัน" ส่วนไม้กวาดด้ามที่ 2 ของเขา คือ "ไฟร์โบลต์" ซึ่งทำความเร็วได้สูงสุดถึง 240 ก.ม./ช.ม. และสำหรับแฟนๆ ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าฉากควิดดิช เกมส์กีฬาของเหล่าพ่อมดแม่มดที่ใช้ไม้กวาดเป็นพาหนะนั้น เป็นฉากที่ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แล้วมันจะมีโอกาสเป็นความจริงได้บ้างหรือไม่? จากหลักการในหนังสือ "วิทยาศาสตร์ในแฮร์รี่พอตเตอร์" (The Science of Harry Potter) ของ Roger Highfield อธิบาย ดังนี้ คนที่สามารถล่องลอยบนอากาศได้ ต้องขึ้นอยู่กับการเอาชนะแรงโน้มถ่วงด้วยการสร้างพลังแม่เหล็กที่สมบูรณ์ ดังที่ Andre Geim จากฮอลแลนด์ ได้ทดลองยกกบตัวเล็กให้ลอยกลางอากาศ ด้วยพลังแม่เหล็กจากการใช้รูปแบบของสภาวะแม่เหล็ก ที่เรียกว่า Diamagnetism (วัตถุที่เมื่อนำแม่เหล็กเข้าใกล้ จะเกิดแรงผลักอ่อนๆ ออกนอกสนามแม่เหล็ก เมื่อนำแม่เหล็กออกไป คุณสมบัติแม่เหล็กนี้ก็หายไปด้วย) การยกกบให้ลอยขึ้นสูงสองเมตรในกระบอกทดลอง ต้องใช้สนามแม่เหล็กที่มีกำลังสูงกว่าสนามแม่เหล็กธรรมชาติของโลกถึง 1 แสนเท่า และสูงกว่าแม่เหล็กติดตู้เย็นประมาณ 10 ถึง 100 เท่า แต่ปัญหาคือ ร่างกายมีคุณสมบัติทางแม่เหล็กไม่สม่ำเสมอทั่วร่างกาย เนื้อหลังกับกระดูกจึงถูกดึงขึ้นและรั้งลงไปทั่วร่างกาย ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้น หากยังไม่มีทฤษฎีอื่นมารองรับ หรือวิทยาการที่ก้าวไกลมากขึ้นอย่าเพิ่งทดลองบินด้วยทฤษฎีนี้จะดีกว่า