วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

“จะเลือกสบู่ชนิดไหนให้เหมาะเจาะกับผิวของ เราดี?” คำถามนี้อาจจะเคยลอยขึ้นมาระหว่างที่น้องๆ dek-d.com เลือกซื้อสบู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต เพราะว่าในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ สบู่มีกันอยู่มากมายหลายชนิด และรูปแบบเหลือเกิน ถ้าอย่างนั้นพี่เหมี่ยวว่าน้องๆ ลองมาดูคำถาม 3-4 ข้อต่อไปนี้ เผื่อจะช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อสบู่ที่เหมาะกับผิวได้นะคะ
เคล็ดลับช้อปปิ้ง : เลือกซื้อสบู่ให้ถูกใจสบายผิว
“สบู่ที่มีระดับพีเอช สูงจะเป็นอันตรายหรือไม่” คงต้องทราบก่อนว่าค่าพีเอช (pH) เป็นหน่วยวัดค่าความเป็นกรดด่าง มีช่วงตั้งแต่ 0-14 ถ้าความเป็นกรดสูงมาก ค่าพีเอชจะเท่ากับศูนย์ ส่วนค่าความเป็นด่างจะมีตัวเลขสูงขึ้น ระดับพีเอชของผิวคนเรานั้นมีปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับปัญหาผิวหนัง ค่าพีเอช ผิวหนังคนเราค่อนข้างเป็นกรดอยู่ ระหว่าง 4.5-5.5 อย่างไรก็ตาม อาจมีความเปลี่ยนแปลงในระดับพีเอช เมื่อมีการติดเชื้อ สบู่ที่ผลิตจำหน่ายโดยทั่วไปค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 9-11 จะเพิ่มระดับพีเอชที่ผิวหนังอาจเป็นอันตรายได้หากสูงมากเกินไป
“สบู่ชนิดหนึ่งต่างกับชนิดอื่นอย่างไร” คำถามนี้ ตอบได้ง่ายๆว่า ไม่ว่าจะมีสบู่มากมายหลายยี่ห้อเต็มท้องตลาด แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกยี่ห้อมีวัตถุประสงค์หลักในการทำความสะอาดผิวให้ปลอดจากเชื้อโรค ส่วนประกอบหลักคล้ายกันคือมีไขมันและสารพื้นฐานที่นำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากมาย เพียงแต่ว่าบางยี่ห้อเติมสารให้ความชุ่มชื้นสำหรับผิวแห้ง บางยี่ห้อก็เพิ่มกลิ่นหรือสารอื่น
“แล้วเราจะเลือกสบู่ให้เหมาะกับผิวได้อย่างไร” สำหรับคนผิวแห้งจะไม่ค่อยมีน้ำมันตามธรรมชาติออกมาตามผิวหนัง ควรเลือกสบู่ที่มีไขมันสูง หรือเป็นครีม สำหรับสบู่ธรรมชาติที่มีส่วนผสมของ ว่านหางจระเข้ อะโวคาโด หรือน้ำมันจากพืช ก็จัดว่าเป็นสบู่ที่ดีที่สุดสำหรับ คนผิวแห้งเช่นกัน ในขณะที่คนผิวมัน ควรเลือกใช้สบู่ต้านเชื้อโรค หรือที่มี ส่วนผสมของลาเวนเดอร์ คาโมไมล์ และไทม์
บางคนอาจสงสัยว่าแล้วสบู่ยาล่ะ “สบู่ยาจะดีกับผิวมั้ย” เรื่องของ สบู่ยานั้นต้องเข้าใจว่ามันออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อป้องกันและรักษา การติดเชื้อของผิวหนัง สบู่เหล่านี้จึงมีส่วนประกอบของสารหรือตัวยาระงับเชื้อ จะได้ทำความสะอาด ป้องกัน การติดเชื้อและระงับกลิ่นตัวได้ด้วย
สบู่ยาจะมีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ หรือกรดซาลิไซลิค โดยทั่วไปแล้วจะแนะนำให้ใช้เพื่อระงับการติดเชื้อรา นอกจากนี้ ยังมีสบู่ที่ผสมวิตามินอี น้ำมันฮะโฮบะ ก็จะเป็นประโยชน์กับคนที่เป็นโรคผิวหนังแห้งชนิดต่างๆ เช่น โรค ผิวหนังเอคซีมา โรคเรื้อนกวาง เป็นต้น
พี่เหมี่ยวหวังว่าข้อมูลที่นำมาฝากกันในวันนี้จะช่วยให้น้องๆ ตัดสินใจเลือกสบู่ให้เหมาะกับตัวเองได้ง่ายขึ้นนะคะ ^^

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

เสียเหงื่อไม่เสียน้ำ


การดื่มน้ำที่ได้สมดุลต่อสุขภาพร่างกาย มีปริมาณมากน้อยเพียงใด เรามีคำแนะนำง่ายๆ ค่ะ
การออกกำลังกายที่ต้องออกแรงให้รู้สึกเหนื่อยหอบปานกลาง ทำให้หัวใจเต้นสูบฉีดต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสมและอย่างสม่ำเสมอ ช่วยทำให้ปอดและหัวใจแข็งแรง สุขภาพโดยรวมแข็งแรง ห่างไกลโรคร้ายอย่างโรคอ้วนหรือเบาหวานได้อย่างสบายๆ
การออกกำลังกายเรียกเหงื่อจะทำให้เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กะเปร่า ซึ่งเมื่อเสียเหงื่อก็ต้องดื่มน้ำเปล่าเข้าไปชดเชยน้ำที่สูญเสียไปจากร่างกายในรูปของเหงื่อ โดยการดื่มน้ำที่ได้สมดุลต่อสุขภาพร่างกายของคุณตั้งแต่ทั้งก่อน ระหว่างและหลังออกกำลังกายต้องมีปริมาณมากน้อยเพียงใด เรามีคำแนะนำง่ายๆ ค่ะ
ก่อนออกกำลังกายควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 400-600 มล. (1-1 ½ ขวดกลาง) ก่อนการออกกำลังกายทุกชนิดล่วงหน้าสัก 1-2 ชั่วโมง และอีก 200-400 มล. (1/2 -1 ขวดกลาง) ก่อนออกกำลังกายประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการจุกเสียดท้อง
ระหว่างการออกกำลังกายขณะออกกำลังกายอย่างสนุกสนาน ร่างกายจะขับเหงื่อเพื่อปรับและรักษาอุณหภูมิไว้ให้สมดุล ดังนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ในกรณีที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 60 นาที คุณควรพักดื่มน้ำทุกๆ 15-20 นาที ครั้งละ 200 มล. (1/2 ขวดกลาง) ทั้งนี้ในกรณีที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังขาดน้ำ เช่น คอแห้ง น้ำลายเหนียว ก็ควรพักดื่มน้ำสักหน่อยก่อนกลับไปออกกำลังกายต่อ สัก 2-3 อึกก็ยังดี หรือถ้าออกกำลังกายที่มีความหนักและสูญเสียเหงื่อมาก อาจดื่มน้ำเกลือแร่เสริมได้ เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด ป้องกันไม่ให้เหนื่อยอ่อนแรงและช็อค ซึ่งจะให้ดีเครื่องดื่มนั้นควรมีอุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส เพื่อเพิ่มการดูดซึม
หลังการออกกำลังกายการดื่มน้ำชดเชยเหงื่อที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับความหนัก เปรียบเทียบง่ายๆ ด้วยการชั่งน้ำหนักก่อนและหลังการออกกำลังกาย (ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าหลังออกกำลังกายหรือซาวนาแล้วจะผอมทันที เพราะจริงๆ แล้ว น้ำในร่างกายสูญเสียไปต่างหาก) หรือปริมาณปัสสาวะที่ขับออกมาก็ได้ ถ้าปัสสาวะมีสีเข้มแสดงว่าดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และพยายามหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ดังนั้นระหว่างการออกกำลังกาย อย่ามัวแต่สนุกสนานกับการเผาผลาญพลังงานจนลืมดื่มน้ำนะคะ มิฉะนั้นอาจจะหมดเรี่ยวแรง และอาจเกิดอาการขาดน้ำจนถึงช็อคได้ ส่วนน้ำที่ดีที่สุดเมื่อออกกำลังกายก็คือ น้ำเปล่า...ทั้งนี้รวมถึงคนที่ทำกิจกรรมทั่วไปก็ต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว นะคะ...วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง?

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ความยาวของนิ้วนาง อาจทำนายความสำเร็จของฐานะทางการเงินได้

เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านก็ไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ "เด็กไม่เอาถ่าน" ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8% ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ไข่ขาวรักษาแผลน้ำร้อนลวก


ใครที่ไม่อยากมีแผลเป็นจากการลูกน้ำร้อนลวกฟังทางนี้ เรามีวิธีรักษามาบอก
เริ่มแรกนำไข่ไก่มา 1 ฟอง ตอกใส่ในถ้วย แล้วแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว จากนั้นนำไข่ขาวมาทาบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกให้ทั่ว ทิ้งไว้สักพัก จนกว่าจะแห้ง เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด รอยแผลแดง หรือ พุพองก็จะหายไป ข้อแนะนำ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้แผลโดนน้ำเย็น หรือแคะแกะ เกา แผลเด็ดขาด เพราะจะทำให้หนังถลอก รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ไม่อยากเป็นแผลเป็น ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้.

ออฟฟิศซินโดรมโรคร้ายที่บรรเทาได้

ไม่ต้องตกใจเพราะมั่นใจได้ว่าเกินครึ่งคนทำงานออฟฟิศเป็นโรคนี้แทบทุกคน
ใครที่อ่านสารพันวันละโรคแล้วเข้าข่ายเป็นออฟฟิสซินโดรม เพียงแต่จะแสดงอาการถึงขั้นไหน อย่างที่ทราบไม่ตายในทันที แต่แสนทรมานฉะนั้นควรรู้วิธีบำบัดและบรรเทาเพื่อให้รางวัลกับร่างกายตัวเองจากการทำงานหนักบ้าง อาการแรกที่หลายคนเป็น คือปวดร้าวตั้งแต่คอไปจนถึงเอว หรือผู้หญิงบางคนที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ หิ้วกระเป๋าหรือโน้ตบุ๊คหนักเกินไป จะมีอาการปวดขาและไหล่ร่วมด้วย แพทย์อายุรเวทบอกเคล็ดลับให้นำไปปฏิบัติคือ
1.ยืดกล้ามเนื้อประมาณ 10 นาทีเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกัน 2 ชั่วโมง
2.วางแขนแนบโต๊ะทำงานตั้งแต่ศอกไปจนถึงข้อมือเวลาใช้คีย์บอร์ด
3.ใช้หมอนรองบริเวณหลังเวลานั่งเก้าอี้สำนักงาน เพื่อป้องกันการปวดหลัง
4.เมื่ออาการปวดเมื่อยเริ่มสำแดง งดออกกำลังกายที่หนักเกินไป ควรใช้วิธีบริหารหรือคลายกล้ามเนื้อแทน เช่น การว่ายน้ำหรือเล่นโยคะ ตาแห้ง สายตาพล่ามัว ปวดกล้ามเนื้อตา ใต้ตาคล้ำ อาการยอดฮิตอีกอย่าง แนะนำให้เมื่อกลับมาจากทำงาน นำแตงกวาหรือถุงชามาแปะไว้บนเปลือกตา หลับตาพักประมาณ 15 นาที หากใครรักสวยรักงามขึ้นมาอีกนิด ให้ฝานมันฝรั่งสดแปะใต้ดวงตาเป็นประจำจะช่วยลดอาการบวมและดำได้ชะงัด สำคัญอย่าลืมรับประทานผักที่มีวิตามินเอควบคู่ไปด้วย ใครที่ยังเข้าใจผิดคิดว่าผักบุ้งมีวิตามินเอมากที่สุด รู้ข้อมูลใหม่โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขจัด 5 อันดับที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ นำลิ่วมาก่อนใครคือตำลึง ผักหวาน แครอท ฟักทอง และมะเขือเทศ ตามลำดับ ส่วนใครที่มีอาการขั้นรุนแรงเกินกว่าปวดเมื่อยเล็กๆ น้อยๆ คงต้องรีบปรึกษาแพทย์ อย่ารีรอให้โรคลุกลามไปสู่อาการหนัก แต่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันก่อนเกิด เพราะนอกจากเสียสุขภาพใจแล้ว ยังต้องมาเสียสุขภาพจิตตอนจ่ายเงินค่ารักษาอีก.

กินต้องเลือกเพื่อ เหงือกและฟัน


อาหารทุกชนิดที่เราทานจะผ่านทางปาก คราบอาหารที่หลงเหลือจากการบดเคี้ยว จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดทำลายฟันโดยแบคทีเรีย...
การเลือกรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่เหล่า มีผลต่อการเสริมสุขภาพให้แข็งแรง ในมุมกลับกัน การกินไม่เลือก ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ การได้สารอาหารครบมีความจำเป็นต่อสุขภาพฟันและเหงือก เราพบว่าถ้าขาดอาหารโรคเหงือกอักเสบจะลุกลามเร็วมาก แรงต้านทานต่อการอักเสบจะลดน้อยลง สารอาหารที่เพียงพอจะมีผลดีต่อการเจริญเติบโตของฟันในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับอาหารครบทุกหมู่เหล่าที่มีผลต่อการสร้างฟัน โดยเฉพาะธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และ ฟลูออไรด์ โปรตีน วิตามิน ต่างๆ จริงๆ แล้วฟันของเด็กเริ่มเกิดขึ้นเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ 6 สัปดาห์ อาหารที่คุณแม่ทานย่อมมีผลต่อฟันลูกอย่างแน่นอน อาหารทำให้เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบอาหารทุกชนิดที่เราทานจะผ่านทางปาก โดยมีการบดเคี้ยวสัมผัสกับเหงือกเป็นด่านแรก คราบอาหารที่หลงเหลือจากการบดเคี้ยว จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดทำลายฟันโดยแบคทีเรีย
อาหารที่ช่วยส่งเสริมทำให้เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบ น้ำตาล ที่ใช้ในการปรุงอาหาร ขนม น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลที่อยู่ในนม น้ำตาลที่ผสมในอาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงต่างๆ เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำสลัด น้ำผึ้งที่ผสมในขนม น้ำตาลเหล่านี้มีส่วนที่ทำให้ฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหยุดรับประทานทั้งหมด เพราะร่างกายยังต้องการสารอาหาร ที่มีในนม ผลไม้ ผัก แป้ง เป็นอาหารที่ทำให้เกิดพลังงาน (มีอยู่ใน ข้าว ขนมปัง ขนม ฯลฯ) ในมุมกลับกันก็ทำให้เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่ายเช่นกัน กินต้องเลือก เพื่อให้สุขภาพฟันดีเราต้องปรับวิธีการกิน และรูปแบบการกินเสียใหม่ ผมขอแนะนำว่า ลดการทานอาหารระหว่างมื้อ ยิ่งกินบ่อย เพิ่มความถี่ในการกิน จำนวนกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย ก็มีโอกาสสัมผัสกับผิวฟันมากขึ้น ฟันผุ เหงือกอักเสบง่ายขึ้น ตัวอย่างง่ายๆ ในเด็กที่หลับคาขวดนม มักจะมีฟันผุทั้งปากก่อนฟันแท้ขึ้น หรือคนที่ทานอาหารว่างอยู่เรื่อย จะมีฟันผุและเหงือกอักเสบมากกว่าคนที่ทานอาหารตามมื้อลดทานอาหารหวานเหนียวๆ ติดฟันง่าย เช่น ท้อฟฟี่ น้ำเชื่อมที่มากับขนม น้ำอัดลม อาหารพวกแป้งที่แปรรูป เช่น ขนมปังกรอบ อาหารหวานสำเร็จรูปบางอย่าง เราควรดูฉลากเพื่อตรวจปริมาณน้ำตาล คงต้องเลือกและลดเสีย ไม่ควรทานบ่อยๆ เลือกทานผลไม้เป็นอาหารว่างแทนขนม สุขภาพฟันดี อย่าลืม กินต้องเลือก และแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ ใช้ยาสีฟันที่มีฟูลออไรด์ ป้องกันฟันผุ ใช้ไหมขัดฟัน ทำความสะอาดตามซอกฟัน พบทันตแพทย์ ปี 2 ครั้ง ถ้าคุณระวังเรื่องอาหารสักหน่อยและทำความสำอาดทุกครั้งหลงรับประทานเป็นประจำ เชื่อแน่ว่าคุณจะมีสุขภาพฟันและเหงือกดีตลอดไป

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ที่สุดของประเทศในโลก

ประเทศ (Country) ที่มีเนื้อที่มากที่สุดในโลก
คือ ประเทศรัสเซีย (Russia) ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 17,075,400 ตารางกิโลเมตร (6,592,800 ตารางไมล์) คิดเป็นเนื้อที่ 11.5% ของเนื้อที่ทั้งหมดในโลก
ประเทศอิสระ (Independent country) ที่มีเนื้อที่น้อยที่สุดในโลก
คือ นครรัฐวาติกัน (the State of the Vatican City) หรือ Holy See ซึ่งเป็นดินแดนที่มีประเทศอิตาลีล้อมรอบอยู่ มีพระสันตปาปาเป็นประมุข มีเนื้อที่ทั้งหมดเพียง 108.7 เอเคอร์
ประเทศสาธารณรัฐ (Republic country) ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ สาธารณรัฐนาอูรู (Nauru) แถบมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีเนื้อที่ประเทศทั้งหมด 5,261 เอเคอร์
ประเทศในอาณานิคม (Colony) ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ ประเทศ Gibraltar ซึ่งเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษในคาบสมุทรไอบีเรีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสเปน ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 5.8 ตารางกิโลเมตร (2 1/4 ตารางไมล์)
ประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศอื่นๆ มากที่สุดในโลก
คือ ประเทศจีน ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 15 ประเทศคือ Mongolia, Russia, North Korea, Macau, Vietnam, Laos, Myanmar, India, Bhutan, Nepal, Pakistan, Afghanistan, Tajikistan, Kyrgyzstan และ Kazakhstan
ประเทศที่มีพรมแดนติดต่อระหว่างกันยาวที่สุดในโลก
คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกันยาว 6,416 กิโลเมตร (3,987 ไมล์)
ประเทศที่มีพรมแดนทางทะเลติดต่อระหว่างกันยาวที่สุดในโลก
คือ ประเทศแคนาดา และเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกันยาว 2,697 กิโลเมตร (1,676 ไมล์)
ประเทศที่มีพรมแดนติดต่อระหว่างกันสั้นที่สุดในโลก
คือ ประเทศอิตาลี กับ นครรัฐวาติกัน มีพรมแดนติดต่อระหว่างกันยาวเพียง 4.07 กิโลเมตร (2 ไมล์ 933 หลา)
ประเทศที่มีจำนวนประชากร (Population) มากที่สุดในโลก
คือ ประเทศจีน จากสถิติกลางปี ค.ศ. 1996 จีนมีประชากรทั้งหมด 1.22 ล้านล้านคน โดยมีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นกว่า 12.1 ล้านคนต่อปี
ประเทศอิสระที่มีจำนวนประชากรน้อยที่สุดในโลก
คือ นครรัฐวาติกัน จากสถิติเมื่อปี ค.ศ. 1996 มีประชากรไม่ถึง 1,000 คน
ดินแดนที่มีเจ้าผู้ครองนคร (Principality) ที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุดในโลก
คือ นครโมนาโค (Monaco) ดินแดนทางชายฝั่งตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ในเนื้อที่ประเทศเพียง 1.95 ตารางกิโลเมตร (0.75 ตารางไมล์) มีประชากรหนาแน่นถึง 30,500 คน (สถิติปี ค.ศ. 1996)
ประเทศที่มีอัตราการเกิด (Birth rate) สูงที่สุดในโลก
จากการสำรวจเมื่อปี ค.ศ. 1995 ประเทศที่มีอัตราการเกิดสูงที่สุด คือ ไนเจอร์ (Niger) มีอัตราการเกิด 55.2% ต่อประชากร 1,000 คน
ประเทศที่ประกอบการอุตสาหกรรม (Industrial country) มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศสโลวาเกีย (Slovakia) คิดเป็น 53% ของรายได้ของประชากรมาจากการประกอบอุตสาหกรรม
ประเทศที่ประกอบการกสิกรรม (Rural country) มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศโซมาเลีย (Somalia) คิดเป็น 65% ของรายได้ประชากรมาจากการเพาะปลูก
ประเทศที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศรัฐเซีย คิดเป็นร้อยละ 41 ของ แหล่งก๊าซทั่วโลก
ประเทศที่ผลิต และมีปริมาณสำรองน้ำมันปิโตรเลียมมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศซาอุดิอาระเบีย คิดเป็นร้อยละ 1 ใน 4 ของปริมาณน้ำมันของโลก สามารถผลิตได้ 7.867 ล้านบาร์เรล ต่อวัน
ประเทศที่มีภาษาพูดมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศอินเดีย มีภาษาพูดมากกว่า 200 ภาษา
ประเทศที่มีทางรถไฟรวมกันแล้วยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มีทางรถไฟรวมกันแล้วยาวกว่า 350,000 ไมล์
ประเทศที่มีรถไฟใต้ดิน รวมกันแล้วยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ทางรถไฟใต้ดินรวมกันแล้วยาว 462 ไมล์
ประเทศที่มีทางด่วนมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีประมาณร้อยละ 65 ของความยาวของทางด่วนทั่วโลก
ประเทศที่มีแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 7,000 ครั้งต่อปี
ประเทศที่มีเกาะมากที่สุดในโลก
คือ ประเทศฟิลิปปินส์ มีมากกว่า 7,100 เกาะ
ประเทศที่มีทะเลสาบมากที่สุดในโลก
คือ ประเทศฟินแลนด์ มีมากกว่า 60,000 แห่ง
ประเทศที่มีลำธารมากที่สุดในโลก
คือ ประเทศมาเลเซีย
ประเทศที่มีคลองมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศอิตาลี
ประเทศที่มีฟยอร์ด (Fiord) มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศนอร์เวย์
ประเทศที่มีภูเขาไฟมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย
ประเทศที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดในโลก
คือ ประเทศธิเบต สูงกว่าระดับน้ำทะเล 12,087 ฟุต
ประเทศที่ผลิตเหล้าไวน์ (Wine) ได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศอิตาลี คิดเป็นร้อยละ 20.6 ของผลผลิตโลก
ประเทศที่ผลิตเหล้าองุ่นได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส
ประเทศที่มีทองคำมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศอัฟริกาใต้ คิดเป็นร้อยละ 35 ของการผลิตทองคำของโลก มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองโยฮันเนสเบิร์ก
ประเทศที่ผลิตแร่เงินได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศเม็กซิโก คิดเป็นร้อยละ 15.7 ของผลผลิตโลก
ประเทศที่มีแร่ดีบุกมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย คิดเป็นร้อยละ 15.7 ของผลผลิตในโลก
ประเทศที่มีผลผลิตยางพาราดิบมากที่สุดในโลก
คือ ประเทศมาเลเซีย คิดเป็นร้อยละ 28.7 ของผลผลิตโลก
ประเทศที่ผลิตถ่านหินลิกไนต์มากที่สุดในโลก
คือประเทศเยอรมนี คิดเป็นร้อยละ 30.4 ของผลผลิตในโลก
ประเทศที่ผลิตปูนซีเมนต์ได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศจีน คิดเป็นร้อยละ 17.8 ของผลผลิตในโลก
ประเทศที่มีหินอ่อนคุณภาพดีที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศอิตาลี
ประเทศที่ผลิตแร่เหล็กได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศรัสเซีย คิดเป็นร้อยละ 14.8 ของผลผลิตในโลก
ประเทศที่ปลูกชามากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศอินเดีย คิดเป็นร้อยละ 29 ของผลผลิตในโลก
ประเทศที่ปลูกกาแฟมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศบราซิล คิดเป็นร้อยละ 23.8 ของผลผลิตในโลก
ประเทศที่ผลิตกระดาษได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศแคนาดา ปีหนึ่งผลิตได้มากกว่า 4 ล้านตัน
ประเทศที่ผลิตยาสูบได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศจีน คิดเป็นร้อยละ 38.6 ของผลผลิตโลก
ประเทศที่ผลิตรถยนต์ได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น เป็นอันดับหนึ่งของโลก คิดเป็นร้อยละ 36.2 ของปริมาณการผลิตในโลก
ประเทศที่มีผลผลิตจากอุตสาหกรรมยางรถยนต์ได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เฉลี่ยปีละประมาณ 210,000 ตัน
ประเทศผลิตข้าวสาลีได้มากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศรัสเซีย คิดเป็นร้อยละ 18.1 ของผลผลิตในโลก
ประเทศที่มีผลผลิตจากเมล็ดฝ้ายมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศจีน คิดเป็นร้อยละ 24 ของผลผลิตโลก
ประเทศที่ขุดน้ำมันดิบขายเป็นสินค้าออกมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศซาอุดิอารเบีย
ประเทศที่มีผลผลิตจากน้ำมันปาล์มมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย คิดเป็นร้อยละ 55 ของผลผลิตในโลก
ประเทศที่มีผลผลิตน้ำตาลมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศอินเดีย คิดเป็นร้อยละ 9.7 ของผลผลิตในโลก
ประเทศที่มีผลผลิตผ้าไหมมากที่สุดในโลก
ได้แก่ ประเทศจีน คิดเป็นร้อยละ 57.1 ของผลผลิตในโลก